วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555



ความมีชื่อเสียงในเรื่องชนิทเซล เบียร์ และเค้กรสชาติอร่อยมากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เยอรมนีจะกลายเป็นสถานที่ดื่ม-กินยอดนิยมของเรา โดยเจ้าช็อกโกแลตเค้กที่ทับซ้อนหลายชั้นด้วยครีม เชอร์รี่ และบรั่นดีผลไม้นี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นยุค 1900 ทางตอนใต้ของ เยอรมนี (ภายหลังได้รับการปรุงแต่งให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยฝีมือของช่างทำเค้กในกรุง เบอร์ลิน) และทุกวันนี้เป็นทื่ชื่นชอบของคนทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่า นี่ก็เป็นหนึ่งในของโปรดของเราเช่นกัน
ดูหนังตลกดีต่อหัวใจ (ไทยโพสต์)

นักวิจัยพบว่า การดูหนังที่ทำให้เราหัวเราะดีต่อสุขภาพหัวใจของเรา ในทางกลับกันการดูหนังสยองขวัญ หรือหนังสงครามจะเพิ่มความเครียดให้แก่เราแทน

ในการวิจัย ทีมวิจัยให้อาสาสมัครชมหนังตลกต่อเนื่องกัน เช่นเรื่อง "There Something About Mary" แสดงโดยคาเมรอน ดิอาซ แล้วในวันถัดมาชมหนังสงคราม "Saving Private Ryan"

ดร.ไมเคิล มิลเลอร์ หัวหน้าคณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์แมริแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เมื่ออาสาสมัครชมหนังที่มีเนื้อหาเครียด หลอดเลือดจะมีปฏิกิริยาต่ออารมณ์ โดยจะทำการบีบตัวทำให้เลือดไหลเวียนได้ยากมากขึ้น แต่ในทางกลับกันหากชมหนังตลก หลอดเลือดจะคลายตัวแทน

เขากล่าวว่า ข้อค้นพบนี้ยืนยันงานศึกษาวิจัยที่เคยมีมาก่อนว่า หากเราอยู่ในภาวะเครียดและกดดัน หลอดเลือดของเราจะบีบตัว โดยรวมแล้วจากการเก็บข้อมูล 300 ครั้งพบว่า ความแตกต่างระหว่างหลอดเลือดในยามที่เราหัวเราะกับยามที่เราเครียด มีขนาดแตกต่างกันถึง 30-50%

ดร.มิลเลอร์แนะนำว่า "ข้อสรุปง่าย ๆ ก็คือ การหัวเราะดีต่อหัวใจของเรา ระดับความเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผนังหลอดเลือดที่เราพบหลังการหัวเราะ อยู่ในระดับเดียวกับการออกกำลังกายแอโรบิกเลยทีเดียว

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลิควิด เปเปอร์ เกิดขึ้นได้ไง


ลิควิด เปเปอร์ (Liquid Paper)
นางเบ็ต เนสสมิธ เกรแฮม (Bette Nesmith Graham) ทำงานในหน้าที่เลขานุการเวลาเธอพิมพ์งาน เธอต้องเจอปัญหาการพิมพ์ผิด ซึ่งเธอใช้ยางลบดินสอเป็นตัวช่วยลบ ทำให้การทำงานทั้งล่าช้า และงานไม่เรียบร้อย
ต่อมามีเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าออกมาใช้ คราวนี้เธอเผชิญปัญหาหนักกว่าเก่า เพราะไม่สามารถใช้ยางลบดินสอลบคำผิดได้อีกต่อไป ต้องพิมพ์ใหม่สถานเดียว เธอจึงหาทางแก้ปัญหานี้ด้วยการประดิษฐ์น้ำยาลบคำผิดขึ้นมา
ในปี ค.ศ.1956 เธอก็ค้นพบวิธีทำน้ำยาลบหมึกแบบง่าย ๆ เพียงใช้สีน้ำสีขาวบรรจุลงในขวดน้ำยาทาเล็บ ใช้พู่ป้ายน้ำยาทาเล็บป้ายสีน้ำสีขาวลงบนกระดาษ แค่นี้คำผิดก็ลบไป พิมพ์ซ้ำทับได้แนบเนียน ใช้ง่าย รวดเร็ว และแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพบรรดาเพื่อนร่วมงานเห็นเช่นนั้น ก็ขอน้ำยาลบหมึกของเธอมาใช้กันบ้าง นี่คือจุดกำเนิดน้ำยาป้ายคำผิด "ลิควิด เปเปอร์" (liquid paper)
เมื่อมีความต้องการน้ำยาป้ายคำผิดมาก ๆ นางเกรแฮมจึงพัฒนาสีน้ำสีขาวและทำการผลิตที่บ้านออกจำหน่าย ด้วยการผสมสีขาวลงในเครื่องปั่นน้ำ กรอกใส่ขวดยาทาเล็บ เป็นอุตสาหกรรมครอบครัวยาวนานถึง 17 ปี
ปี ค.ศ. 1976 เธอสามารถผลิตลิควิด เปเปอร์ได้ถึง 25 ล้านขวด ออกจำหน่ายไปทั่วโลก และต่อมาในปี ค.ศ.1979 เธอได้ขายกิจการให้กับบริษัทยิลเล็ต (Gillette)

อันตรายจากฟองน้ำล้างจาน

นางอรุณ บ่างตระกูลนนท์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และในฐานะผู้วิจัยเรื่องอันตรายจากเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ และปริมาณจุลินทรีย์ในแผ่นใยขัดและฟองน้ำทำความสะอาดภาชนะบรรจุอาหาร เปิดเผยว่า จากการเก็บตัวอย่างแผ่นใยขัดและฟองน้ำที่ใช้ล้างทำความสะอาดภาชนะบรรจุอาหาร และอุปกรณ์ประกอบอาหาร
เพื่อมาหาปริมาณจุลินทรีย์ และเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเป็นพิษ พบว่าแผ่นใยขัดและฟองน้ำที่เก็บจากร้านค้าจำหน่ายอาหารมีปริมาณการปนเปื้อนเชื้อ จุลินทรีย์ทั้งชนิดที่ไม่ทำให้ป่วย และชนิดที่รุนแรงที่ทำให้ป่วย

ส่วนเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอาหารเป็นพิษในแผ่นใยและฟองน้ำจากร้านค้า โดยเชื้อโรคที่พบ ได้แก่ เชื้อซัมโมเนลล่า ซึ่งทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษและโรคอุจจาระร่วง เชื้ออหิวาต์เทียม ที่มีอาการท้องร่วงไม่รุนแรงเท่ากับโรคอหิวาต์

"จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าแผ่นใยขัดและฟองน้ำที่พบเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ นั้นสามารถตรวจพบได้ทั้งในจาน ชาม ช้อน พร้อมกันนี้จำนวนเชื้อจุลินทรีย์ที่พบในแผ่นใยขัดและฟองน้ำมีอัตราสูงมาก ซึ่งพอเป็นข้อมูลได้ว่า โอกาส ที่เชื้อจุลินทรีย์ในแผ่นใยขัดและฟองน้ำอาจติดไปกับภาชนะที่ใช้แผ่นใย ขัดและฟองน้ำล้างทำความสะอาดได้ และโอกาสปนเปื้อนในอาหารได้" วิธีการทำลายเชื้อจุลินทรีย์ในแผ่นใยขัดและฟองน้ำหลังผ่านการล้างทำความ สะอาดภาชนะอุปกรณ์ต่างๆ โดยพบวิธีที่ง่ายและสามารถทำได้ทุกครัวเรือน คือ การใช้กรดน้ำส้มหรือน้ำส้มสายชู 4 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำเปล่าครึ่งลิตร แล้วนำแผ่นใยขัดหรือฟองน้ำที่ผ่านการล้างภาชนะในแต่ละวันมาแช่ทิ้งไว้ค้าง คืน และเปลี่ยนน้ำส้มสายชูใหม่ทุกวัน ภาวะที่มีความเป็นกรดสูงนั้น จะช่วยให้สามารถลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ดังกล่าวลงให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย แก่การบริโภค หรือไม่ก็ควรนำไปตากแดดจัด อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง ความร้อนจากแสงแดดก็จะช่วยลดปริมาณจุลินทรีย์เช่นเดียวกัน

"ที่สำคัญไม่เพียงเท่านี้ควรทำความสะอาดแผ่นใยขัดและฟองน้ำ โดยผึ่งและทำให้แห้งหลังการใช้งานทุกครั้ง ไม่ควรแช่น้ำยาล้างจานทิ้งไว้จนกว่าจะมีการล้างครั้งใหม่ เนื่องจากไม่สามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ ยังเป็นตัวหมักหมมเชื้อโรคด้วย ทั้งนี้ ควรเปลี่ยนแผ่นใยขัดและฟองน้ำบ่อยๆ ไม่ควรเก็บไว้ใช้นานจนเกินไป"

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

11 สุนัขสุดกล้าหาญในประวัติศาสตร์


1. เจ้าบัลโต สุนัขที่ช่วยรักษาเมืองไว้ได้จากโรคระบาด

ในปี พ.ศ. 2468 เกิดโรคคอตีบแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่เมืองโนม รัฐอลาสกา ผู้คนในเมืองจึงต้องการวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคทางอากาศ แต่ยาถูกนำเข้ามาและยังอยู่ที่ท่าเรือไม่สามารถเข้ามาในเมืองได้ เนื่องด้วยสภาพอากาศที่หนาวเหน็บอย่างรุนแรงในแถบขั้วโลกเหนือ จึงทำให้การขนส่งต่าง ๆ หยุดชะงัก

ด้วยเหตุนี้ การเดินทางขนส่งวัคซีนจึงจำเป็นต้องใช้ทีมลากเลื่อน แต่ทว่าหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก ก็ทำให้ "กันนาร์ การ์เซน" ผู้ขับเลื่อนไม่อาจมองเห็นเส้นทางได้ เขาจึงมอบหมายภารกิจสำคัญนี้ให้กับเจ้าสุนัขที่ชื่อ บัลโต ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาถึง 7 วัน จนในที่สุดเจ้าบัลโตก็ทำได้สำเร็จลุล่วง ปัจจุบันรูปปั้นของ บัลโต ถูกสร้างตั้งตระหง่านอยู่กลางเซ็นทรัลพาร์ค ในเมืองนิวยอร์กซิตี้




2. สุนัขพันธุ์ เบลเจี้ยน มาลินอยส์

เบลเจี้ยน มาลินอยส์ เป็นหนึ่งในสี่สุนัขต้อนแกะสายพันธุ์เบลเจี้ยน เป็นสุนัขระวังภัยที่ปรับตัวได้ดีกับสถานการณ์อันตราย เพราะเป็นสุนัขที่มีทั้งความเร็ว พละกำลัง และความคล่องแคล่ว เบลเจี้ยน มาลินอยส์ มักจะถูกใช้ในหน่วย SWAT และในกองทัพทั่วโลก เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้ง่ายต่อการฝึกให้รับผิดชอบในหน้าที่ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการตรวจค้นหายาเสพติดและวัตถุระเบิด รวมถึงภารกิจค้นหาและช่วยเหลือมนุษย์







3. ไลก้า สุนัขอวกาศตัวแรกของโลก

เจ้าไลก้า สุนัขพันธุ์เทอร์เรียร์ผสม เพศเมีย ที่ออกเดินทางไปยังอวกาศโดยดาวเทียมสปุตนิก 1 ของสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2500 นับว่าเป็นสัตว์ตัวแรกที่ออกไปเหยียบนอกโลก หลังจากถูกส่งขึ้นไปในอวกาศไม่นาน ไลก้า มีชีพจรสูงผิดปกติ แต่ไม่นานก็กลับมีชีพจรต่ำลง แสดงให้เห็นว่า ไลก้า มีความเครียดสูง จากนั้นระบบควบคุมอุณหภูมิของยานอวกาศทำงานผิดปกติ ทำให้ ไลก้า ตายด้วยความร้อนสูง และอาการตื่นตระหนก

ตามรายงานระบุว่า ไลก้า อยู่ได้เพียง 5-7 ชั่วโมง หลังจากเริ่มปล่อยยาน แต่ ไลก้า ก็ทำประโยชน์ให้มวลมนุษยชาติ เพราะมันทำให้มนุษย์รู้ว่า เราสามารถอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักได้นาน ซึ่งหลังจากนั้น ยูริ กาการิน มนุษย์อวกาศชาวรัสเซียก็ขึ้นไปยังอวกาศได้เป็นคนแรกของโลก




4. สโมคกี้ ตัวเล็กแต่ใจใหญ่

ถึงตัวเล็กแต่ใจใหญ่...ประโยคนี้ตรงกับ เจ้าสโมคกี้ อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เรื่องราวของสุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย ที่มีจิตใจสุดแกร่ง หลังจาก บิล วีนน์ ไปพบเจ้าสโมคกี้ ในป่าที่ปาปัวนิวกินี และนำมาเลี้ยง ก่อนจะพามันเข้าร่วมสนามรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เจ้าสโมคกี้ ก็สามารถเอาตัวรอดในสถานการณ์อันตรายได้ดี

ที่สำคัญ ครั้งหนึ่ง เจ้าสโมคกี้ ยังเคยช่วยชีวิต วีนน์ ด้วยการเห่าเตือนว่ากำลังมีขีปนาวุธที่ยิงมาจากเรือรบกำลังพุ่งมาทางเขา นอกจากนี้ มันยังสามารถกระโดดร่มที่ความสูง 9.1 เมตรจากพื้นดินได้ และหลังจากสงครามจบลง ทั้ง วีนน์ และเจ้าสโมคกี้ ได้เดินทางกลับบ้านที่คลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ในฐานะทหารผ่านศึก และมีรูปปั้นตั้งไว้เพื่อระลึกถึงมันที่เลควู้ด โอไฮโอนั่นเอง






5. นายจ่าสตับบี้

เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ประเทศฝรั่งเศส สตับบี้ สุนัขพันธุ์พิตต์บูลผสม ได้กลายเป็นสิ่งนำโชคของหน่วยทหารราบที่ 102 ที่ร่วมรบในสงครามครั้งนั้น หลังจากมันได้ใช้ประสาทสัมผัสของมันดมกลิ่นจนรู้ว่าจะมีการรมควันพิษทางอากาศ มันจึงเห่าเตือนให้กองกำลังทหารหน่วยนี้ใส่หน้ากากป้องกันได้ทันเวลา

นอกจากนี้ สตับบี้ ยังปฏิบัติภารกิจค้นหาและช่วยเหลือ จนได้รับแต่งตั้งเป็นนายจ่าในกองกำลังนาวิกโยธินของสหรัฐอเมริกา และเป็นสุนัขเพียงตัวเดียวที่ได้รับตำแหน่งในกองทัพเช่นนี้...น่าปรบมือให้เสียจริง ๆ


6. ฮาจิโกะ สุนัขผู้ซื่อสัตย์

หลายคนคงเคยได้ดูภาพยนตร์เรื่อง ฮาจิโกะ (Hachiko) ซึ่งสร้างมาจากเรื่องจริงของ "ฮาจิโกะ" หนึ่งในสุนัขที่ซื่อสัตย์ที่สุดในโลกพันธุ์อากิตะ ที่จะมานั่งรอเจ้าของกลับจากที่ทำงานที่สถานีรถไฟชิบูย่าในกรุงโตเกียวทุกวัน แต่อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุการสลดใจขึ้น เมื่อเจ้าของออกไปทำงานตามปกติ แต่เกิดหัวใจวายเสียชีวิตในที่ทำงานและไม่กลับมาบ้านอีก แต่ ฮาจิโกะ ก็ยังคงมาเฝ้ารอเจ้าของกลับบ้านที่สถานีรถไฟวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตมัน

เรื่องราวของ ฮาจิโกะ เป็นที่ประทับใจไปทั่วโลก ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ที่เรียกน้ำตาผู้ชมได้ทุกคราว และปัจจุบันนี้ก็มีรูปปั้นของฮาจิโกะตั้งเป็นสัญลักษณ์อยู่ที่สถานีรถไฟชิบูย่า และตั้งตรงบริเวณที่มันเคยนั่งรอเจ้าของในอดีตอีกด้วย





7. เพื่อนตูบคู่ยากในเหตุการณ์สึนามิญี่ปุ่น

สุนัขนอกจากจะเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของมนุษย์แล้ว มันยังช่วยเหลือกันเอง โดยเราจะเห็นได้จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่เข้าพัดโจมตีญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เราได้เห็นภาพอันน่าประทับใจของสุนัขตัวหนึ่งที่อยู่เคียงข้างสุนัขอีกตัวหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ และมันจะคอยส่งเสียงเพื่อหาคนมาช่วยเพื่อนของมันที่นอนได้รับบาดเจ็บอยู่ และสุดท้ายทีมช่วยเหลือก็สามารถช่วยเหลือสุนัขทั้งสองให้ปลอดภัยได้





8. เจ้ามองท์ สุนัขค้นหาผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหว

มองท์ เป็นสุนัขช่วยชีวิตในทีมช่วยเหลือพิเศษสเปเดอร์ ในเมืองมิสโคล์ตของฮังการี ซึ่งเป็นทีมช่วยเหลือที่เดินทางไปทั่วโลกเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดย เจ้ามองท์ จะทำการดมกลิ่นและทำสัญญาณบอกทีมช่วยเหลือได้ว่ายังมีผู้รอดชีวิตอยู่ใต้ซากตึกถล่มบริเวณไหนบ้าง และจากผลงานที่ดีของมัน ในปี พ.ศ. 2547 จึงมีการสร้างรูปปั้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับเจ้ามองท์ ตั้งอยู่ที่เมืองมิสโคล์ต บ้านเกิดของมันเอง ก่อนที่ เจ้ามองท์ จะเสียชีวิตในอีก 2 ปีถัดมา






9. เจ้ามัสทาช พุดเดิ้ลผู้กล้า

มีเรื่องเล่ามาว่า ในช่วงที่เกิดสงครามออสเตอร์ลิทซ์ในปี พ.ศ. 2348 เจ้ามัสทาช สุนัขพุดเดิ้ลสีดำ ได้ค้นหาและช่วยเหลือสายลับชาวออสเตรียคนหนึ่ง นอกจากนี้ มันยังนำธงฝรั่งเศสกลับมายังที่ตั้งแคมป์ได้ แม้มันต้องสูญเสียขาจากการระเบิดของปืนใหญ่ เจ้ามัสทาช จึงได้รับเหรียญกล้าหาญจากวีรกรรมของมันในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่า เรื่องราวของเจ้ามัสทาช เป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวของมันก็เผยแพร่และดังไปทั่วโลก รวมถึงได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์อีกด้วย





10. พันโทแร็กส์ สุนัขส่งสารจอมอึด

พลทหารเจมส์ โดโนแวน ในหน่วยทหารราบที่ 1 ของกองทัพสหรัฐ ฯ ได้พา เจ้าแร็กส์ สุนัขพันธุ์เทอเรียร์ เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฝรั่งเศสด้วย โดยมอบให้ทำหน้าที่เป็นสุนัขส่งสารไปยังที่ต่าง ๆ ท่ามกลางอันตรายอย่างยิ่งยวดในภาวะสงคราม

แม้ว่าจะสามารถเอาชีวิตรอดมาได้หลังจากสิ้นสุดสงคราม แต่ระหว่างเดินทางกลับบ้าน เรือโดยสารของโดโนแวนและเจ้าแร็กส์ ก็ถูกโจมตีด้วยแก๊สพิษ เจ้านายของมันเสียชีวิต ส่วนเจ้าแร็กส์ จอมอึด ก็รอดชีวิตมาได้อีกราวปาฏิหาริย์ เรื่องราวของมันโด่งดังไปทั่วประเทศ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น "พันโทแร็กส์" ศพของมันถูกฝังอย่างมีเกียรติเยี่ยงทหารผู้เสียสละเพื่อชาติที่ซิลเวอร์ สปริง ในรัฐแมรี่แลนด์




11. สุนัขปฏิบัติภารกิจในอิรักและอัฟกานิสถาน
ในสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน ได้มีการนำสุนัขหลากหลายสายพันธุ์ไปใช้งาน โดยเฉพาะให้ช่วยค้นหาระเบิดและปฏิบัติการค้นหายาเสพติด จึงทำให้สุนัขหลายตัวต้องสละชีวิตของมันในสนามรบ เพราะโดนระเบิดจากการปะทะกับกองกำลังฝ่ายกบฏ ซึ่งเป็นการพลีชีพในหน้าที่ที่น่ายกย่องเช่นกัน

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

'แอพริคอต'ผสม'ส้ม' คู่หูต้านหวัด

สภาพอากาศช่วงนี้เปลี่ยนแปลงไว มีผลต่อสุขภาพของบางคนที่ปรับตามไม่ทัน ทำให้ระยะนี้หลายๆ คนป่วยด้วยโรคหวัดกันมาก 'มุมสุขภาพ-กินดี' อยากช่วยให้ผู้อ่านรักษ์สุขภาพรับมือกับความแปรปรวนของอากาศได้ด้วย

เครื่องดื่มสุขภาพ 'น้ำแอพริคอตและน้ำส้ม' ให้ประโยชน์ช่วยคือ แก้โรคหวัด เสริมความแข็งแกร่งของภูมิต้านทาน แถมยังต้านอนุมูลอิสระได้อีก

ขอบอกเล่าถึงสรรพคุณของ 'แอพริคอต' อันอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านความเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ยังมีกรดมาลิก ช่วยทำความสะอาดลำไส้ เคล็ดลับเลือกแอพริคอต ควรใช้ผลสีเข้มๆ เพราะสารอาหารที่กล่าวไปจะอัดแน่นอยู่มาก ส่วน ส้ม มีวิตามินซี เบต้าแคโรทีน ไบโอฟลาโวนอยด์ สังกะสี โพแ
ทสเซียม และฟอสฟอรัส ดีต่อปอดและไต คุณประโยชน์ของส้มจะช่วยแก้หวัด แก้ไอ เป็นยาระบายอ่อน กระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ทั้งยังป้องเชื้อรา และเชื้อจุลินทรีย์
ใครอยากดื่มน้ำผลไม้สูตรนี้ให้เตรียม...
แอพริคอต 2 ถ้วย
ส้ม 2 ผล
น้ำแร่หรือน้ำสะอาด 1 ถ้วย

สำหรับขั้นตอนในการทำ ให้ล้างทำความสะอาดแอพริคอต แล้วผ่าครึ่งคว้านเมล็ดออก หั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนส้มให้แกะเป็นกลีบแต่ไม่ต้องเลาะเมล็ดออก จากนั้นนำส่วนผสมทั้งสองชนิดสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเติมน้ำแร่หรือน้ำสะอาดเพื่อเจือจาง ดื่มได้ทันที หรืออยากเพิ่มความเย็นสดชื่นก็สามารถเติมน้ำแข็งได้.

เครื่องดื่มช่วยย่อย หลังอิ่มมื้อใหญ่

ใกล้ช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดต่อเนื่อง หลายๆ คนคงหมายใจจะร่วมประเพณีสงกรานต์ จากนั้นก็คงต้องสังสรรค์ทานเลี้ยงมื้อใหญ่กับญาติสนิทมิตรสหาย ทว่าอาหารปริมาณมาก หากทานอิ่มเกินไป พาลจะเจออาการอาหารไม่ย่อย จุก เสียด แน่น เฟ้อ เล่นงานหลังมื้ออาหารเอาได้ ในวิถีของ มุมสุขภาพ-กินดี ก็คงต้องแนะนำทางแก้ด้วยเครื่องดื่มจากผักและผลไม้ ที่มีสารอาหารสำคัญช่วยย่อย และเสริมประสิทธิภาพระบบย่อยอาหาร ด้วยคุณค่าจากสับปะรด องุ่นเขียว ผักชีฝรั่ง หัวไช้เท้า ขึ้นฉ่าย

คุณประโยชน์ของ สับปะรด อันอุดมด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม ช่วยย่อยโปรตีน มีเอนไซม์ชื่อ โบรเมลิน ช่วยรักษาสมดุลร่างกาย ส่วน องุ่น มีวิตามินบี1 บี2 และซี รวมถึงฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก กรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก กรดทาร์ทาริก ทำให้องุ่นสามารถเพิ่มความเร็วในกระบวนการเผาผลาญอาหาร และช่วยควบคุมน้ำหนัก ดีต่อเลือดลม

ขณะที่ผักทั้งสามชนิด อย่าง ผักชีฝรั่ง หัวไช้เท้า ขึ้นฉ่าย เป็นส่วนผสมที่มีวิตามิน แต่สรรพคุณเฉพาะตัวนั้น ผักชีฝรั่ง สามารถแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับถ่าย หัวไช้เท้า จะคอยล้างพิษของกระเพาะอาหารและลำไส้ สุดท้าย ขึ้นฉ่าย กินแล้วจะทำให้รู้สึกสบายขึ้น

ส่วนผสมควรเตรีนมตามสัดส่วนต่อไปนี้...

สับปะรด 1 ถ้วย
องุ่นเขียว 1 ถ้วย
ผักชีฝรั่ง ½ ถ้วย
หัวไช้เท้า ½ ถ้วย
ขึ้นฉ่าย ½ ถ้วย

ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากเตรียมสับปะรด โดยปอกเปลือกออกให้หมด ส่วนองุ่นเขียวนั้นไม่ต้องเลาะเอาเมล็ดออก สำหรับผักชีฝรั่ง หัวไช้เท้า และขึ้นฉ่าย ให้หั่นหยาบๆ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วดื่มได้ทันที ถ้าจะให้ดีเติมน้ำแข็งเพิ่มความเย็นสดชื่นได้อีก.