วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

'แอพริคอต'ผสม'ส้ม' คู่หูต้านหวัด

สภาพอากาศช่วงนี้เปลี่ยนแปลงไว มีผลต่อสุขภาพของบางคนที่ปรับตามไม่ทัน ทำให้ระยะนี้หลายๆ คนป่วยด้วยโรคหวัดกันมาก 'มุมสุขภาพ-กินดี' อยากช่วยให้ผู้อ่านรักษ์สุขภาพรับมือกับความแปรปรวนของอากาศได้ด้วย

เครื่องดื่มสุขภาพ 'น้ำแอพริคอตและน้ำส้ม' ให้ประโยชน์ช่วยคือ แก้โรคหวัด เสริมความแข็งแกร่งของภูมิต้านทาน แถมยังต้านอนุมูลอิสระได้อีก

ขอบอกเล่าถึงสรรพคุณของ 'แอพริคอต' อันอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านความเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ยังมีกรดมาลิก ช่วยทำความสะอาดลำไส้ เคล็ดลับเลือกแอพริคอต ควรใช้ผลสีเข้มๆ เพราะสารอาหารที่กล่าวไปจะอัดแน่นอยู่มาก ส่วน ส้ม มีวิตามินซี เบต้าแคโรทีน ไบโอฟลาโวนอยด์ สังกะสี โพแ
ทสเซียม และฟอสฟอรัส ดีต่อปอดและไต คุณประโยชน์ของส้มจะช่วยแก้หวัด แก้ไอ เป็นยาระบายอ่อน กระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ทั้งยังป้องเชื้อรา และเชื้อจุลินทรีย์
ใครอยากดื่มน้ำผลไม้สูตรนี้ให้เตรียม...
แอพริคอต 2 ถ้วย
ส้ม 2 ผล
น้ำแร่หรือน้ำสะอาด 1 ถ้วย

สำหรับขั้นตอนในการทำ ให้ล้างทำความสะอาดแอพริคอต แล้วผ่าครึ่งคว้านเมล็ดออก หั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนส้มให้แกะเป็นกลีบแต่ไม่ต้องเลาะเมล็ดออก จากนั้นนำส่วนผสมทั้งสองชนิดสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเติมน้ำแร่หรือน้ำสะอาดเพื่อเจือจาง ดื่มได้ทันที หรืออยากเพิ่มความเย็นสดชื่นก็สามารถเติมน้ำแข็งได้.

เครื่องดื่มช่วยย่อย หลังอิ่มมื้อใหญ่

ใกล้ช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดต่อเนื่อง หลายๆ คนคงหมายใจจะร่วมประเพณีสงกรานต์ จากนั้นก็คงต้องสังสรรค์ทานเลี้ยงมื้อใหญ่กับญาติสนิทมิตรสหาย ทว่าอาหารปริมาณมาก หากทานอิ่มเกินไป พาลจะเจออาการอาหารไม่ย่อย จุก เสียด แน่น เฟ้อ เล่นงานหลังมื้ออาหารเอาได้ ในวิถีของ มุมสุขภาพ-กินดี ก็คงต้องแนะนำทางแก้ด้วยเครื่องดื่มจากผักและผลไม้ ที่มีสารอาหารสำคัญช่วยย่อย และเสริมประสิทธิภาพระบบย่อยอาหาร ด้วยคุณค่าจากสับปะรด องุ่นเขียว ผักชีฝรั่ง หัวไช้เท้า ขึ้นฉ่าย

คุณประโยชน์ของ สับปะรด อันอุดมด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม ช่วยย่อยโปรตีน มีเอนไซม์ชื่อ โบรเมลิน ช่วยรักษาสมดุลร่างกาย ส่วน องุ่น มีวิตามินบี1 บี2 และซี รวมถึงฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก กรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก กรดทาร์ทาริก ทำให้องุ่นสามารถเพิ่มความเร็วในกระบวนการเผาผลาญอาหาร และช่วยควบคุมน้ำหนัก ดีต่อเลือดลม

ขณะที่ผักทั้งสามชนิด อย่าง ผักชีฝรั่ง หัวไช้เท้า ขึ้นฉ่าย เป็นส่วนผสมที่มีวิตามิน แต่สรรพคุณเฉพาะตัวนั้น ผักชีฝรั่ง สามารถแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับถ่าย หัวไช้เท้า จะคอยล้างพิษของกระเพาะอาหารและลำไส้ สุดท้าย ขึ้นฉ่าย กินแล้วจะทำให้รู้สึกสบายขึ้น

ส่วนผสมควรเตรีนมตามสัดส่วนต่อไปนี้...

สับปะรด 1 ถ้วย
องุ่นเขียว 1 ถ้วย
ผักชีฝรั่ง ½ ถ้วย
หัวไช้เท้า ½ ถ้วย
ขึ้นฉ่าย ½ ถ้วย

ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากเตรียมสับปะรด โดยปอกเปลือกออกให้หมด ส่วนองุ่นเขียวนั้นไม่ต้องเลาะเอาเมล็ดออก สำหรับผักชีฝรั่ง หัวไช้เท้า และขึ้นฉ่าย ให้หั่นหยาบๆ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วดื่มได้ทันที ถ้าจะให้ดีเติมน้ำแข็งเพิ่มความเย็นสดชื่นได้อีก.


วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เตือนก่อนสาย 10 หลุมดำเรื่องกิน


นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มี 10 หลุมดำ เกี่ยวกับเรื่องของการกิน ฝากเตือนใจผู้อ่านรักษ์สุขภาพ ให้ใส่ใจกับพฤติกรรมการกินอาหาร

เริ่มจาก "กินเช้าดีแต่...ต้องมีลิมิต" อย่าคิดเน้น แป้ง (Refined carbohydrate) มากไป เช่น ข้าวราดแกงให้เพลาข้าวลงนิด หรือคิดกินเส้นก็เป็นเกาเหลาก็ยังได้ เพราะแป้งมากจะทำให้หิวง่ายก่อนเที่ยง แถมเสี่ยงอ้วนชวนโรคมาอีกพะเรอ

ต่อด้วยหลุมดำที่ 2 "กินแค่พออิ่ม" ด้วยเหตุว่ากระเพาะเป็นอวัยวะเฉื่อยกว่าจะส่งสัญญาณ อิ่ม ไปสมองต้องใช้ราว 15 นาที มีเทคนิกง่ายคือให้ อิ่มก่อนอิ่มแล้วจะสบายท้องดีที่สุดครับ

หลุมถัดไป "ชอบลิ้มก่อนนอน" ขอให้ยามหลับเป็นเวลาพักไส้ ช่วงแรกอาจมีท้องกิ่วนิดๆ แต่ขอให้คิดเถิดครับว่า เพื่อให้สมองได้หลับสนิทแล้วหลั่ง ธาตุนิทรา(Melatonin) กับ ธาตุหนุ่มสาว(Growth hormone) แล้วตื่นมาจะสบายกว่าที่คิด ลองแล้วจะติดใจครับ

หลุมดำที่ 4 เรียกว่า "อย่าย้อนกระเพาะ" ขอให้เลี่ยงอาหารมัน เพราะเป็นอาหารคิดสั้นสำหรับโรคกระเพาะและกรดไหลย้อนครับ สำหรับอาหารเผ็ดยังไม่น่ากลัวเท่า เพราะของทอดและมันเป็นอาหารอร่อยสั้นแต่มันอยู่ในกระเพาะได้ยาวนานกว่าอาหารอื่น ขืนกินบ่อยต้องระวังกรดย้อนศรมาหานะเธอ

ครึ่งทางกับหลุมดำที่ 5 "กินต้องฝึก" นึกหิวเมื่อไรให้ดูว่า หิวจริง หรือ หิวหลอก บ่อยครั้งที่เป็นแค่ อยาก คือหิวแบบสับขาหลอกแต่ออกไปหากินจริง คนไทยชอบกินฉึกฉึก เอ๊ย...จุบจิบ เลยฝากวิธีง่ายไว้ให้ถามตัวเองว่า หิวขนาด กินฝรั่งสดได้สักลูกไหม ซึ่งถ้าใช่ก็หิวจริง วิ่งหาอาหารมากระแทกท้องได้

สำหรับหลุมดำที่ 6 คือ "นึกแต่หวาน" ของน่าทานชวนติดอันดับหนึ่งคือ ของหวาน ครับ คนไทยเป็น โรคติดหวาน(Carbohydrate addiction) กันมาก มีวิธีสังเกตง่ายว่าเมื่อไรกินข้าวเสร็จแล้วอยากหาเหตุกินของหวานล้างปากอีกหรือไม่ ถ้าใช่ก็ค่อยๆ เลิกครับ

ขณะที่หลุมดำเรื่องกินที่ 7 "ทานเน้นมัน(ดี)" ขอให้เลือก ไขมันดี ซึ่งไม่มีพระเอกเพียงคนเดียวครับ ต้องจับใช้ให้หลากหลายน้ำมันพืช,สัตว์ ยกเว้นน้ำมันพราย และอย่าใช้น้ำมันแบบแม่ไม่ปลื้ม คือ ยกขวดเท ให้ใช้ช้อนตักใส่กะทะหรือจะใช้แปรงทาก็ได้

หลุมดำที่ 8 "กินติดปรุง" อย่ายุ่งกับ พวงเครื่องปรุง ทุกครั้งไป เชฟเจ้าอร่อยเขาถือและมันคือสุขภาพที่เสียไปทุกช้อนที่เติมน้ำปลา,น้ำตาล,ซีอิ๊วหวานหรือซอส เพราะยอดของความอร่อยไม่ใช่รสอุมามิอย่างเดียวแต่เกี่ยวกับรสธรรมชาติแท้ๆด้วยครับ

มาถึงหลุมดำที่ 9 "มุ่งกินกาก" หากอยากให้สุขภาพดีจน สุดไส้ แถมได้ ล้างพิษ ไปในตัวขอให้ช่วยกิน เส้นใย(ไฟเบอร์) ซึ่งได้แก่กากทั้งละลายน้ำได้และไม่ได้ เป็นต้นว่ากินผลไม้ก็ให้กินเปลือกด้วย(แต่ช่วยระวังทุเรียนและมังคุด) ให้อย่างน้อยวันหนึ่งได้ผักผลไม้สัก 5 ทัพพีครับ

หลุมดำสุดท้าย "อยากให้หลากหลาย" อย่าปลงใจกับลูกสาวแม่ครัวเจ้าเดียว ขอให้เทียวสลับอาหารให้หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง ขอให้เลี่ยงก๋วยเตี๋ยวสามมื้อหรือเช้าข้าวราดแกง กลางวันแกงราดข้าว หรือจะเอากับข้าวบ้านมาทานสักสัปดาห์ละครั้งก็เก๋ดี

ทราบแล้วลองนำไปปรับเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารกันเสียไหม แล้วรอดูสุขภาพของคุณสิ.