วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลิควิด เปเปอร์ เกิดขึ้นได้ไง


ลิควิด เปเปอร์ (Liquid Paper)
นางเบ็ต เนสสมิธ เกรแฮม (Bette Nesmith Graham) ทำงานในหน้าที่เลขานุการเวลาเธอพิมพ์งาน เธอต้องเจอปัญหาการพิมพ์ผิด ซึ่งเธอใช้ยางลบดินสอเป็นตัวช่วยลบ ทำให้การทำงานทั้งล่าช้า และงานไม่เรียบร้อย
ต่อมามีเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าออกมาใช้ คราวนี้เธอเผชิญปัญหาหนักกว่าเก่า เพราะไม่สามารถใช้ยางลบดินสอลบคำผิดได้อีกต่อไป ต้องพิมพ์ใหม่สถานเดียว เธอจึงหาทางแก้ปัญหานี้ด้วยการประดิษฐ์น้ำยาลบคำผิดขึ้นมา
ในปี ค.ศ.1956 เธอก็ค้นพบวิธีทำน้ำยาลบหมึกแบบง่าย ๆ เพียงใช้สีน้ำสีขาวบรรจุลงในขวดน้ำยาทาเล็บ ใช้พู่ป้ายน้ำยาทาเล็บป้ายสีน้ำสีขาวลงบนกระดาษ แค่นี้คำผิดก็ลบไป พิมพ์ซ้ำทับได้แนบเนียน ใช้ง่าย รวดเร็ว และแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพบรรดาเพื่อนร่วมงานเห็นเช่นนั้น ก็ขอน้ำยาลบหมึกของเธอมาใช้กันบ้าง นี่คือจุดกำเนิดน้ำยาป้ายคำผิด "ลิควิด เปเปอร์" (liquid paper)
เมื่อมีความต้องการน้ำยาป้ายคำผิดมาก ๆ นางเกรแฮมจึงพัฒนาสีน้ำสีขาวและทำการผลิตที่บ้านออกจำหน่าย ด้วยการผสมสีขาวลงในเครื่องปั่นน้ำ กรอกใส่ขวดยาทาเล็บ เป็นอุตสาหกรรมครอบครัวยาวนานถึง 17 ปี
ปี ค.ศ. 1976 เธอสามารถผลิตลิควิด เปเปอร์ได้ถึง 25 ล้านขวด ออกจำหน่ายไปทั่วโลก และต่อมาในปี ค.ศ.1979 เธอได้ขายกิจการให้กับบริษัทยิลเล็ต (Gillette)

อันตรายจากฟองน้ำล้างจาน

นางอรุณ บ่างตระกูลนนท์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และในฐานะผู้วิจัยเรื่องอันตรายจากเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ และปริมาณจุลินทรีย์ในแผ่นใยขัดและฟองน้ำทำความสะอาดภาชนะบรรจุอาหาร เปิดเผยว่า จากการเก็บตัวอย่างแผ่นใยขัดและฟองน้ำที่ใช้ล้างทำความสะอาดภาชนะบรรจุอาหาร และอุปกรณ์ประกอบอาหาร
เพื่อมาหาปริมาณจุลินทรีย์ และเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเป็นพิษ พบว่าแผ่นใยขัดและฟองน้ำที่เก็บจากร้านค้าจำหน่ายอาหารมีปริมาณการปนเปื้อนเชื้อ จุลินทรีย์ทั้งชนิดที่ไม่ทำให้ป่วย และชนิดที่รุนแรงที่ทำให้ป่วย

ส่วนเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอาหารเป็นพิษในแผ่นใยและฟองน้ำจากร้านค้า โดยเชื้อโรคที่พบ ได้แก่ เชื้อซัมโมเนลล่า ซึ่งทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษและโรคอุจจาระร่วง เชื้ออหิวาต์เทียม ที่มีอาการท้องร่วงไม่รุนแรงเท่ากับโรคอหิวาต์

"จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าแผ่นใยขัดและฟองน้ำที่พบเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ นั้นสามารถตรวจพบได้ทั้งในจาน ชาม ช้อน พร้อมกันนี้จำนวนเชื้อจุลินทรีย์ที่พบในแผ่นใยขัดและฟองน้ำมีอัตราสูงมาก ซึ่งพอเป็นข้อมูลได้ว่า โอกาส ที่เชื้อจุลินทรีย์ในแผ่นใยขัดและฟองน้ำอาจติดไปกับภาชนะที่ใช้แผ่นใย ขัดและฟองน้ำล้างทำความสะอาดได้ และโอกาสปนเปื้อนในอาหารได้" วิธีการทำลายเชื้อจุลินทรีย์ในแผ่นใยขัดและฟองน้ำหลังผ่านการล้างทำความ สะอาดภาชนะอุปกรณ์ต่างๆ โดยพบวิธีที่ง่ายและสามารถทำได้ทุกครัวเรือน คือ การใช้กรดน้ำส้มหรือน้ำส้มสายชู 4 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำเปล่าครึ่งลิตร แล้วนำแผ่นใยขัดหรือฟองน้ำที่ผ่านการล้างภาชนะในแต่ละวันมาแช่ทิ้งไว้ค้าง คืน และเปลี่ยนน้ำส้มสายชูใหม่ทุกวัน ภาวะที่มีความเป็นกรดสูงนั้น จะช่วยให้สามารถลดปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ดังกล่าวลงให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย แก่การบริโภค หรือไม่ก็ควรนำไปตากแดดจัด อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง ความร้อนจากแสงแดดก็จะช่วยลดปริมาณจุลินทรีย์เช่นเดียวกัน

"ที่สำคัญไม่เพียงเท่านี้ควรทำความสะอาดแผ่นใยขัดและฟองน้ำ โดยผึ่งและทำให้แห้งหลังการใช้งานทุกครั้ง ไม่ควรแช่น้ำยาล้างจานทิ้งไว้จนกว่าจะมีการล้างครั้งใหม่ เนื่องจากไม่สามารถช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ ยังเป็นตัวหมักหมมเชื้อโรคด้วย ทั้งนี้ ควรเปลี่ยนแผ่นใยขัดและฟองน้ำบ่อยๆ ไม่ควรเก็บไว้ใช้นานจนเกินไป"

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

11 สุนัขสุดกล้าหาญในประวัติศาสตร์


1. เจ้าบัลโต สุนัขที่ช่วยรักษาเมืองไว้ได้จากโรคระบาด

ในปี พ.ศ. 2468 เกิดโรคคอตีบแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรงที่เมืองโนม รัฐอลาสกา ผู้คนในเมืองจึงต้องการวัคซีนเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคทางอากาศ แต่ยาถูกนำเข้ามาและยังอยู่ที่ท่าเรือไม่สามารถเข้ามาในเมืองได้ เนื่องด้วยสภาพอากาศที่หนาวเหน็บอย่างรุนแรงในแถบขั้วโลกเหนือ จึงทำให้การขนส่งต่าง ๆ หยุดชะงัก

ด้วยเหตุนี้ การเดินทางขนส่งวัคซีนจึงจำเป็นต้องใช้ทีมลากเลื่อน แต่ทว่าหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก ก็ทำให้ "กันนาร์ การ์เซน" ผู้ขับเลื่อนไม่อาจมองเห็นเส้นทางได้ เขาจึงมอบหมายภารกิจสำคัญนี้ให้กับเจ้าสุนัขที่ชื่อ บัลโต ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาถึง 7 วัน จนในที่สุดเจ้าบัลโตก็ทำได้สำเร็จลุล่วง ปัจจุบันรูปปั้นของ บัลโต ถูกสร้างตั้งตระหง่านอยู่กลางเซ็นทรัลพาร์ค ในเมืองนิวยอร์กซิตี้




2. สุนัขพันธุ์ เบลเจี้ยน มาลินอยส์

เบลเจี้ยน มาลินอยส์ เป็นหนึ่งในสี่สุนัขต้อนแกะสายพันธุ์เบลเจี้ยน เป็นสุนัขระวังภัยที่ปรับตัวได้ดีกับสถานการณ์อันตราย เพราะเป็นสุนัขที่มีทั้งความเร็ว พละกำลัง และความคล่องแคล่ว เบลเจี้ยน มาลินอยส์ มักจะถูกใช้ในหน่วย SWAT และในกองทัพทั่วโลก เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้ง่ายต่อการฝึกให้รับผิดชอบในหน้าที่ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการตรวจค้นหายาเสพติดและวัตถุระเบิด รวมถึงภารกิจค้นหาและช่วยเหลือมนุษย์







3. ไลก้า สุนัขอวกาศตัวแรกของโลก

เจ้าไลก้า สุนัขพันธุ์เทอร์เรียร์ผสม เพศเมีย ที่ออกเดินทางไปยังอวกาศโดยดาวเทียมสปุตนิก 1 ของสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2500 นับว่าเป็นสัตว์ตัวแรกที่ออกไปเหยียบนอกโลก หลังจากถูกส่งขึ้นไปในอวกาศไม่นาน ไลก้า มีชีพจรสูงผิดปกติ แต่ไม่นานก็กลับมีชีพจรต่ำลง แสดงให้เห็นว่า ไลก้า มีความเครียดสูง จากนั้นระบบควบคุมอุณหภูมิของยานอวกาศทำงานผิดปกติ ทำให้ ไลก้า ตายด้วยความร้อนสูง และอาการตื่นตระหนก

ตามรายงานระบุว่า ไลก้า อยู่ได้เพียง 5-7 ชั่วโมง หลังจากเริ่มปล่อยยาน แต่ ไลก้า ก็ทำประโยชน์ให้มวลมนุษยชาติ เพราะมันทำให้มนุษย์รู้ว่า เราสามารถอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนักได้นาน ซึ่งหลังจากนั้น ยูริ กาการิน มนุษย์อวกาศชาวรัสเซียก็ขึ้นไปยังอวกาศได้เป็นคนแรกของโลก




4. สโมคกี้ ตัวเล็กแต่ใจใหญ่

ถึงตัวเล็กแต่ใจใหญ่...ประโยคนี้ตรงกับ เจ้าสโมคกี้ อย่างไม่มีผิดเพี้ยน เรื่องราวของสุนัขพันธุ์ยอร์คเชียร์ เทอร์เรีย ที่มีจิตใจสุดแกร่ง หลังจาก บิล วีนน์ ไปพบเจ้าสโมคกี้ ในป่าที่ปาปัวนิวกินี และนำมาเลี้ยง ก่อนจะพามันเข้าร่วมสนามรบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เจ้าสโมคกี้ ก็สามารถเอาตัวรอดในสถานการณ์อันตรายได้ดี

ที่สำคัญ ครั้งหนึ่ง เจ้าสโมคกี้ ยังเคยช่วยชีวิต วีนน์ ด้วยการเห่าเตือนว่ากำลังมีขีปนาวุธที่ยิงมาจากเรือรบกำลังพุ่งมาทางเขา นอกจากนี้ มันยังสามารถกระโดดร่มที่ความสูง 9.1 เมตรจากพื้นดินได้ และหลังจากสงครามจบลง ทั้ง วีนน์ และเจ้าสโมคกี้ ได้เดินทางกลับบ้านที่คลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ในฐานะทหารผ่านศึก และมีรูปปั้นตั้งไว้เพื่อระลึกถึงมันที่เลควู้ด โอไฮโอนั่นเอง






5. นายจ่าสตับบี้

เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ประเทศฝรั่งเศส สตับบี้ สุนัขพันธุ์พิตต์บูลผสม ได้กลายเป็นสิ่งนำโชคของหน่วยทหารราบที่ 102 ที่ร่วมรบในสงครามครั้งนั้น หลังจากมันได้ใช้ประสาทสัมผัสของมันดมกลิ่นจนรู้ว่าจะมีการรมควันพิษทางอากาศ มันจึงเห่าเตือนให้กองกำลังทหารหน่วยนี้ใส่หน้ากากป้องกันได้ทันเวลา

นอกจากนี้ สตับบี้ ยังปฏิบัติภารกิจค้นหาและช่วยเหลือ จนได้รับแต่งตั้งเป็นนายจ่าในกองกำลังนาวิกโยธินของสหรัฐอเมริกา และเป็นสุนัขเพียงตัวเดียวที่ได้รับตำแหน่งในกองทัพเช่นนี้...น่าปรบมือให้เสียจริง ๆ


6. ฮาจิโกะ สุนัขผู้ซื่อสัตย์

หลายคนคงเคยได้ดูภาพยนตร์เรื่อง ฮาจิโกะ (Hachiko) ซึ่งสร้างมาจากเรื่องจริงของ "ฮาจิโกะ" หนึ่งในสุนัขที่ซื่อสัตย์ที่สุดในโลกพันธุ์อากิตะ ที่จะมานั่งรอเจ้าของกลับจากที่ทำงานที่สถานีรถไฟชิบูย่าในกรุงโตเกียวทุกวัน แต่อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุการสลดใจขึ้น เมื่อเจ้าของออกไปทำงานตามปกติ แต่เกิดหัวใจวายเสียชีวิตในที่ทำงานและไม่กลับมาบ้านอีก แต่ ฮาจิโกะ ก็ยังคงมาเฝ้ารอเจ้าของกลับบ้านที่สถานีรถไฟวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิตมัน

เรื่องราวของ ฮาจิโกะ เป็นที่ประทับใจไปทั่วโลก ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ที่เรียกน้ำตาผู้ชมได้ทุกคราว และปัจจุบันนี้ก็มีรูปปั้นของฮาจิโกะตั้งเป็นสัญลักษณ์อยู่ที่สถานีรถไฟชิบูย่า และตั้งตรงบริเวณที่มันเคยนั่งรอเจ้าของในอดีตอีกด้วย





7. เพื่อนตูบคู่ยากในเหตุการณ์สึนามิญี่ปุ่น

สุนัขนอกจากจะเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ของมนุษย์แล้ว มันยังช่วยเหลือกันเอง โดยเราจะเห็นได้จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่เข้าพัดโจมตีญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เราได้เห็นภาพอันน่าประทับใจของสุนัขตัวหนึ่งที่อยู่เคียงข้างสุนัขอีกตัวหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ และมันจะคอยส่งเสียงเพื่อหาคนมาช่วยเพื่อนของมันที่นอนได้รับบาดเจ็บอยู่ และสุดท้ายทีมช่วยเหลือก็สามารถช่วยเหลือสุนัขทั้งสองให้ปลอดภัยได้





8. เจ้ามองท์ สุนัขค้นหาผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหว

มองท์ เป็นสุนัขช่วยชีวิตในทีมช่วยเหลือพิเศษสเปเดอร์ ในเมืองมิสโคล์ตของฮังการี ซึ่งเป็นทีมช่วยเหลือที่เดินทางไปทั่วโลกเพื่อค้นหาผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดย เจ้ามองท์ จะทำการดมกลิ่นและทำสัญญาณบอกทีมช่วยเหลือได้ว่ายังมีผู้รอดชีวิตอยู่ใต้ซากตึกถล่มบริเวณไหนบ้าง และจากผลงานที่ดีของมัน ในปี พ.ศ. 2547 จึงมีการสร้างรูปปั้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับเจ้ามองท์ ตั้งอยู่ที่เมืองมิสโคล์ต บ้านเกิดของมันเอง ก่อนที่ เจ้ามองท์ จะเสียชีวิตในอีก 2 ปีถัดมา






9. เจ้ามัสทาช พุดเดิ้ลผู้กล้า

มีเรื่องเล่ามาว่า ในช่วงที่เกิดสงครามออสเตอร์ลิทซ์ในปี พ.ศ. 2348 เจ้ามัสทาช สุนัขพุดเดิ้ลสีดำ ได้ค้นหาและช่วยเหลือสายลับชาวออสเตรียคนหนึ่ง นอกจากนี้ มันยังนำธงฝรั่งเศสกลับมายังที่ตั้งแคมป์ได้ แม้มันต้องสูญเสียขาจากการระเบิดของปืนใหญ่ เจ้ามัสทาช จึงได้รับเหรียญกล้าหาญจากวีรกรรมของมันในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่า เรื่องราวของเจ้ามัสทาช เป็นเรื่องที่ถูกแต่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวของมันก็เผยแพร่และดังไปทั่วโลก รวมถึงได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์อีกด้วย





10. พันโทแร็กส์ สุนัขส่งสารจอมอึด

พลทหารเจมส์ โดโนแวน ในหน่วยทหารราบที่ 1 ของกองทัพสหรัฐ ฯ ได้พา เจ้าแร็กส์ สุนัขพันธุ์เทอเรียร์ เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฝรั่งเศสด้วย โดยมอบให้ทำหน้าที่เป็นสุนัขส่งสารไปยังที่ต่าง ๆ ท่ามกลางอันตรายอย่างยิ่งยวดในภาวะสงคราม

แม้ว่าจะสามารถเอาชีวิตรอดมาได้หลังจากสิ้นสุดสงคราม แต่ระหว่างเดินทางกลับบ้าน เรือโดยสารของโดโนแวนและเจ้าแร็กส์ ก็ถูกโจมตีด้วยแก๊สพิษ เจ้านายของมันเสียชีวิต ส่วนเจ้าแร็กส์ จอมอึด ก็รอดชีวิตมาได้อีกราวปาฏิหาริย์ เรื่องราวของมันโด่งดังไปทั่วประเทศ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น "พันโทแร็กส์" ศพของมันถูกฝังอย่างมีเกียรติเยี่ยงทหารผู้เสียสละเพื่อชาติที่ซิลเวอร์ สปริง ในรัฐแมรี่แลนด์




11. สุนัขปฏิบัติภารกิจในอิรักและอัฟกานิสถาน
ในสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน ได้มีการนำสุนัขหลากหลายสายพันธุ์ไปใช้งาน โดยเฉพาะให้ช่วยค้นหาระเบิดและปฏิบัติการค้นหายาเสพติด จึงทำให้สุนัขหลายตัวต้องสละชีวิตของมันในสนามรบ เพราะโดนระเบิดจากการปะทะกับกองกำลังฝ่ายกบฏ ซึ่งเป็นการพลีชีพในหน้าที่ที่น่ายกย่องเช่นกัน

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

'แอพริคอต'ผสม'ส้ม' คู่หูต้านหวัด

สภาพอากาศช่วงนี้เปลี่ยนแปลงไว มีผลต่อสุขภาพของบางคนที่ปรับตามไม่ทัน ทำให้ระยะนี้หลายๆ คนป่วยด้วยโรคหวัดกันมาก 'มุมสุขภาพ-กินดี' อยากช่วยให้ผู้อ่านรักษ์สุขภาพรับมือกับความแปรปรวนของอากาศได้ด้วย

เครื่องดื่มสุขภาพ 'น้ำแอพริคอตและน้ำส้ม' ให้ประโยชน์ช่วยคือ แก้โรคหวัด เสริมความแข็งแกร่งของภูมิต้านทาน แถมยังต้านอนุมูลอิสระได้อีก

ขอบอกเล่าถึงสรรพคุณของ 'แอพริคอต' อันอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านความเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ยังมีกรดมาลิก ช่วยทำความสะอาดลำไส้ เคล็ดลับเลือกแอพริคอต ควรใช้ผลสีเข้มๆ เพราะสารอาหารที่กล่าวไปจะอัดแน่นอยู่มาก ส่วน ส้ม มีวิตามินซี เบต้าแคโรทีน ไบโอฟลาโวนอยด์ สังกะสี โพแ
ทสเซียม และฟอสฟอรัส ดีต่อปอดและไต คุณประโยชน์ของส้มจะช่วยแก้หวัด แก้ไอ เป็นยาระบายอ่อน กระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ทั้งยังป้องเชื้อรา และเชื้อจุลินทรีย์
ใครอยากดื่มน้ำผลไม้สูตรนี้ให้เตรียม...
แอพริคอต 2 ถ้วย
ส้ม 2 ผล
น้ำแร่หรือน้ำสะอาด 1 ถ้วย

สำหรับขั้นตอนในการทำ ให้ล้างทำความสะอาดแอพริคอต แล้วผ่าครึ่งคว้านเมล็ดออก หั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนส้มให้แกะเป็นกลีบแต่ไม่ต้องเลาะเมล็ดออก จากนั้นนำส่วนผสมทั้งสองชนิดสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเติมน้ำแร่หรือน้ำสะอาดเพื่อเจือจาง ดื่มได้ทันที หรืออยากเพิ่มความเย็นสดชื่นก็สามารถเติมน้ำแข็งได้.

เครื่องดื่มช่วยย่อย หลังอิ่มมื้อใหญ่

ใกล้ช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดต่อเนื่อง หลายๆ คนคงหมายใจจะร่วมประเพณีสงกรานต์ จากนั้นก็คงต้องสังสรรค์ทานเลี้ยงมื้อใหญ่กับญาติสนิทมิตรสหาย ทว่าอาหารปริมาณมาก หากทานอิ่มเกินไป พาลจะเจออาการอาหารไม่ย่อย จุก เสียด แน่น เฟ้อ เล่นงานหลังมื้ออาหารเอาได้ ในวิถีของ มุมสุขภาพ-กินดี ก็คงต้องแนะนำทางแก้ด้วยเครื่องดื่มจากผักและผลไม้ ที่มีสารอาหารสำคัญช่วยย่อย และเสริมประสิทธิภาพระบบย่อยอาหาร ด้วยคุณค่าจากสับปะรด องุ่นเขียว ผักชีฝรั่ง หัวไช้เท้า ขึ้นฉ่าย

คุณประโยชน์ของ สับปะรด อันอุดมด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม ช่วยย่อยโปรตีน มีเอนไซม์ชื่อ โบรเมลิน ช่วยรักษาสมดุลร่างกาย ส่วน องุ่น มีวิตามินบี1 บี2 และซี รวมถึงฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก กรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก กรดทาร์ทาริก ทำให้องุ่นสามารถเพิ่มความเร็วในกระบวนการเผาผลาญอาหาร และช่วยควบคุมน้ำหนัก ดีต่อเลือดลม

ขณะที่ผักทั้งสามชนิด อย่าง ผักชีฝรั่ง หัวไช้เท้า ขึ้นฉ่าย เป็นส่วนผสมที่มีวิตามิน แต่สรรพคุณเฉพาะตัวนั้น ผักชีฝรั่ง สามารถแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับถ่าย หัวไช้เท้า จะคอยล้างพิษของกระเพาะอาหารและลำไส้ สุดท้าย ขึ้นฉ่าย กินแล้วจะทำให้รู้สึกสบายขึ้น

ส่วนผสมควรเตรีนมตามสัดส่วนต่อไปนี้...

สับปะรด 1 ถ้วย
องุ่นเขียว 1 ถ้วย
ผักชีฝรั่ง ½ ถ้วย
หัวไช้เท้า ½ ถ้วย
ขึ้นฉ่าย ½ ถ้วย

ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากเตรียมสับปะรด โดยปอกเปลือกออกให้หมด ส่วนองุ่นเขียวนั้นไม่ต้องเลาะเอาเมล็ดออก สำหรับผักชีฝรั่ง หัวไช้เท้า และขึ้นฉ่าย ให้หั่นหยาบๆ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วดื่มได้ทันที ถ้าจะให้ดีเติมน้ำแข็งเพิ่มความเย็นสดชื่นได้อีก.


วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เตือนก่อนสาย 10 หลุมดำเรื่องกิน


นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มี 10 หลุมดำ เกี่ยวกับเรื่องของการกิน ฝากเตือนใจผู้อ่านรักษ์สุขภาพ ให้ใส่ใจกับพฤติกรรมการกินอาหาร

เริ่มจาก "กินเช้าดีแต่...ต้องมีลิมิต" อย่าคิดเน้น แป้ง (Refined carbohydrate) มากไป เช่น ข้าวราดแกงให้เพลาข้าวลงนิด หรือคิดกินเส้นก็เป็นเกาเหลาก็ยังได้ เพราะแป้งมากจะทำให้หิวง่ายก่อนเที่ยง แถมเสี่ยงอ้วนชวนโรคมาอีกพะเรอ

ต่อด้วยหลุมดำที่ 2 "กินแค่พออิ่ม" ด้วยเหตุว่ากระเพาะเป็นอวัยวะเฉื่อยกว่าจะส่งสัญญาณ อิ่ม ไปสมองต้องใช้ราว 15 นาที มีเทคนิกง่ายคือให้ อิ่มก่อนอิ่มแล้วจะสบายท้องดีที่สุดครับ

หลุมถัดไป "ชอบลิ้มก่อนนอน" ขอให้ยามหลับเป็นเวลาพักไส้ ช่วงแรกอาจมีท้องกิ่วนิดๆ แต่ขอให้คิดเถิดครับว่า เพื่อให้สมองได้หลับสนิทแล้วหลั่ง ธาตุนิทรา(Melatonin) กับ ธาตุหนุ่มสาว(Growth hormone) แล้วตื่นมาจะสบายกว่าที่คิด ลองแล้วจะติดใจครับ

หลุมดำที่ 4 เรียกว่า "อย่าย้อนกระเพาะ" ขอให้เลี่ยงอาหารมัน เพราะเป็นอาหารคิดสั้นสำหรับโรคกระเพาะและกรดไหลย้อนครับ สำหรับอาหารเผ็ดยังไม่น่ากลัวเท่า เพราะของทอดและมันเป็นอาหารอร่อยสั้นแต่มันอยู่ในกระเพาะได้ยาวนานกว่าอาหารอื่น ขืนกินบ่อยต้องระวังกรดย้อนศรมาหานะเธอ

ครึ่งทางกับหลุมดำที่ 5 "กินต้องฝึก" นึกหิวเมื่อไรให้ดูว่า หิวจริง หรือ หิวหลอก บ่อยครั้งที่เป็นแค่ อยาก คือหิวแบบสับขาหลอกแต่ออกไปหากินจริง คนไทยชอบกินฉึกฉึก เอ๊ย...จุบจิบ เลยฝากวิธีง่ายไว้ให้ถามตัวเองว่า หิวขนาด กินฝรั่งสดได้สักลูกไหม ซึ่งถ้าใช่ก็หิวจริง วิ่งหาอาหารมากระแทกท้องได้

สำหรับหลุมดำที่ 6 คือ "นึกแต่หวาน" ของน่าทานชวนติดอันดับหนึ่งคือ ของหวาน ครับ คนไทยเป็น โรคติดหวาน(Carbohydrate addiction) กันมาก มีวิธีสังเกตง่ายว่าเมื่อไรกินข้าวเสร็จแล้วอยากหาเหตุกินของหวานล้างปากอีกหรือไม่ ถ้าใช่ก็ค่อยๆ เลิกครับ

ขณะที่หลุมดำเรื่องกินที่ 7 "ทานเน้นมัน(ดี)" ขอให้เลือก ไขมันดี ซึ่งไม่มีพระเอกเพียงคนเดียวครับ ต้องจับใช้ให้หลากหลายน้ำมันพืช,สัตว์ ยกเว้นน้ำมันพราย และอย่าใช้น้ำมันแบบแม่ไม่ปลื้ม คือ ยกขวดเท ให้ใช้ช้อนตักใส่กะทะหรือจะใช้แปรงทาก็ได้

หลุมดำที่ 8 "กินติดปรุง" อย่ายุ่งกับ พวงเครื่องปรุง ทุกครั้งไป เชฟเจ้าอร่อยเขาถือและมันคือสุขภาพที่เสียไปทุกช้อนที่เติมน้ำปลา,น้ำตาล,ซีอิ๊วหวานหรือซอส เพราะยอดของความอร่อยไม่ใช่รสอุมามิอย่างเดียวแต่เกี่ยวกับรสธรรมชาติแท้ๆด้วยครับ

มาถึงหลุมดำที่ 9 "มุ่งกินกาก" หากอยากให้สุขภาพดีจน สุดไส้ แถมได้ ล้างพิษ ไปในตัวขอให้ช่วยกิน เส้นใย(ไฟเบอร์) ซึ่งได้แก่กากทั้งละลายน้ำได้และไม่ได้ เป็นต้นว่ากินผลไม้ก็ให้กินเปลือกด้วย(แต่ช่วยระวังทุเรียนและมังคุด) ให้อย่างน้อยวันหนึ่งได้ผักผลไม้สัก 5 ทัพพีครับ

หลุมดำสุดท้าย "อยากให้หลากหลาย" อย่าปลงใจกับลูกสาวแม่ครัวเจ้าเดียว ขอให้เทียวสลับอาหารให้หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง ขอให้เลี่ยงก๋วยเตี๋ยวสามมื้อหรือเช้าข้าวราดแกง กลางวันแกงราดข้าว หรือจะเอากับข้าวบ้านมาทานสักสัปดาห์ละครั้งก็เก๋ดี

ทราบแล้วลองนำไปปรับเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารกันเสียไหม แล้วรอดูสุขภาพของคุณสิ.

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554


In my heart I have love.
In my love I always have you.
ในหัวใจมีความรัก ในความรักมีเธอเสมอ



I wish to be a star in your darkness.
I wish to be with you in the stormy day.
I wais to be your friend always.
ขอเป็นแสงแดงส่องสว่างในคืนมืดมิด ขอเป็นเพื่อนชีวิตไม่***งหาย
ขออยู่เคียงข้างแม้ในวันที่มีพายุร้าย ขออยู่ถึงวันสุดท้ายที่มีเธอ



Sending my love to you,
On the day I’m very thought of you.
ส่งคำ “ รัก” มาให้ ในวันที่หัวใจเปี่ยมด้วยความคิดถึง



You’re the shinning stars brighten my life with hope
You’re the strength that support my life whenever I need.
เธอเห็นดาวในดวงใจ ส่องสว่างใสให้ความหวัง
เธอเป็นแรงพลัง ในทุกครั้งที่ฉันต้องการกำลังใจ





The happy time in my life is doing everything for you.
ช่วงเวลาที่มีความสุขของฉัน คือการไกระทำทุกสิ่งเพื่อเธอ



I’ve know many people in this world
But l’ve a few to understand and truly love me.
One of them is you
มีคนมากมายในโลกกว้างที่ฉันรู้จัก แต่มีอยู่น้อยคนคน
ที่ฉันมั่นใจว่ารักและเข้าใจฉันจริง คนดี..เธอคือคนหนึ่งนั้น




You’ve made my routine days become more meaning.
เธอทำให้วันคืนอันแสนธรรมดา เป็นวันเวลาที่มีความหมาย



This heart of flower I give it to you.
Please keep it closer to your heart too.
ดอกไม้ของหัวใจ ฉันมีมามอบให้
เก็บเอาไว้นะ...อย่าปล่อยวาง โปรดเก็บไว้ข้างๆ หัวใจเธอ



Everything I gave you won’t make me lost.
Everything you gave me I should make it worth.
ทุกสิ่งที่ให้เธอ ฉันไม่เคยรู้สึกสูญเสีย
ทุกสิ่งที่เธอให้ ฉันจะเก็บดูแลรักษาไว้ด้วยหัวใจ



Please take your heart out of cover
Let me help you discover a perfect love.
Look high, there’s a bright and blue sky
Look at my eyes, there’s love inside.
โปรดเปิดประตูหัวใจ ให้ฉันได้เข้าไปค้นหาความรักที่งดงาม
ในวันที่ฟ้าคราม เธอเห็นความรักในดวงตาของฉันไหม



My hero that what you are in my love story you’re the star.
It’s you, so sweet and true.
เธอคือคนดีในชีวิต ทั้งในความคิด ความใฝ่ฝัน
ในเรื่องราวของความรักทุกคืนวัน เธอคือพระเอกตลอดกาลนิรันดร์ไป



Remember I’m in love with you.
Please save your heart for me.
อย่าลืมนะว่าเรารักกัน
เพราะฉะนั้น กรุณาเก็บรักษาหัวใจของเธอไว้ให้ฉันด้วย



More than the greatest love the world has know
This is the love I’ll give to you alone
More than the simple words I try to say
I only live to love you more each day.
มากกว่าความรักทั้งหมดในโลกนี้ที่ฉันรู้จัก
คือความรักที่ฉันมีให้เธอ
มากกว่าถ้อยคำในโลกนี้ทั้งหมดก็คือ
ฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อรักเธอมากขึ้นทุกวัน




You’re my dream that comes true.
เธอคือคนของความฝัน ที่ฉันค้นพบเจอในความจริง



Don’t forget to remember me and the love that’s used to be
I’m still remember you and everything we’re used to do.
อย่าลืมฉัน อย่าลืมวันที่เคยใกล้
อย่าลืมนึกถึงหัวใจ ที่ใครหนึ่งฝากไว้ให้เธอดูแล



Don’t throw my love away, you might need it someday.
ความรักของฉันอาจไร้ค่า แต่โปรดอย่าทำลายจะได้ไหม
บางทีในวันหนึ่งซึ่งเธอไม่มีใคร
อาจเป็นสิ่งที่เติมความหมายในใจเธอ



You’re in my thought.
You’re in my days and in my heart always.
เธออยู่ในความคิดถึงและทุกที่ที่มีฉัน
เธออยู่ในคืนวัน อยู่ในความผูกพันของหัวใจ



When I feel happy, I dare to laugh among people.
But when I feel blue I’ve just to cried with you
Because you’re the only one who understand me.
เมื่อมีความสุข ฉันกล้าที่จะหัวเราะต่อหน้าใครต่อใครมากมาย
แต่ในยามทุกข์เศร้า เธอคือคนเดียวที่ฉันกล้าจะร้องไห้ต่อหน้า
เพราะฉันรู้...มีเพียงเธอเท่านั้นที่จะเข้าใจฉัน



I’ve never care what tomorrow come
I’ve care just only today that l have you.
วันข้างหน้าเป็นอย่างไรไม่สำคัญ ขอแค่รู้ว่าวันนี้นั้นยังมีเธอ



I’m so happy to be near you
And give the best things to you.
สุขที่ได้อยู่ใกล้...ใกล้กับเธอสุขที่ได้ให้เธอในสิ่งที่ดี



I’ve know for a long time how much you care me
And how much I meant to you
Thank you for everything you’ve done for me
I’m very proud to have you in my life
I’ll always love you with all my heart
ตลอดเวลาที่ผ่านมา กับความรู้สึกดีดีที่เธอมีให้
ฉันรับรู้และปลื้มใจ กับการเป็นคนที่มีความหมายสำหรับเธอ
ขอบคุณทุกสิ่งอย่าง ที่เธอได้สรรค์สร้างให้ฉันเสมอ
ภูมิใจที่ชีวิตนี้ได้มีเธอ คนที่ฉันรักเสมอทั้งหัวใจ




Sky and sea meet each other at the horizon
You and me meet each other at love
ฟ้ากับน้ำ พบกันที่ขอบฟ้าไกล หัวใจของเรา พบกันที่ความรัก



I’ll give my heart to you weather you’ll keep it of not
I’ve just only want you to know
I care and love you a lot.
ฝากหัวใจไว้ให้ จะเก็บไว้ตรงไหนก็ได้
ขอเพียงทุกที่ที่เธอไป จะรับรู้ถึงความห่วงใยที่หัวใจฉันมี



Love and care’s binding our heart to be one.
เพราะความรัก ความผูกพัน เราจึงรู้สึกเหมือนมีหัวใจดวงเดียวกัน



Love is colorful like flowers.
Your love is the most beautiful flower
that I’ve ever had in my life.
ความรัก มีสีสันเหมือนดอกไม้ สวยสดและงดงาม
ความรักที่เธอมีให้ จึงเหมือนดอกไม้ที่สวยที่สุดในชีวิตของฉัน



Looking in your eyes, I know you need to fine
A love to mend your broken heart, So let me give you mine.
หากคุณกำลังค้นหาใครสักคน เพื่อเยียวยาหัวใจอันหม่นไหม้
ฉันยังอยู่ตรงนี้ไม่มีใคร พร้อมจะทุ่มเทใจให้กับคุณ



From now on, It’s the beginning of two hearts
That’s re-union into one. Walk together with hand in hand
And fill the heart with love and understand.
และนับจากวันนี้ นี่คือจุดเริ่มต้น
ที่หัวใจคนสองคน จะผูกพันด้วยความรู้สึกเดียว
เก็บเกี่ยวความฝัน ความรัก
ก้าวต่อไปข้างหน้าร่วมกันด้วยความเข้าใจ






"The secret of success in life is to be ready for your opportunity when it comes."
- - Benjamin Disraeli - -
ความลับของความสำเร็จคือเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอสำหรับโอกาสที่มาถึง


"You get the best out of others when you give the best of yourself."
- - Harvey Firestone - -
"คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป"

"If you always do what interests you, then at least one person is pleased."
- - Katherine Hepburn - -
ถ้าคุณลงมือทำในสิ่งที่คุณสนใจอยู่เสมอ อย่างน้อยจะมีคนคนหนึ่งที่พอใจ

"The determined man finds the way, the other finds an excuse or alibi."
- - Anonymous - -
ผู้ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นจะหาหนทางแก้ปัญหา ในขณะที่คนอื่นจะหาหนทางแก้ตัว


"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."
- - Anonymous - -
บางคนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ

"No bird soars too high if he soars with his own wings."
- - William Blake - -
ไม่มีนกตัวใดบินสูงเกินไปถ้ามันบินด้วยปีกของมันเอง

"Obstacles are those frightful things you see
when you take your eyes off your goals."
- - Anonymous - -
อุปสรรคคือสิ่งที่น่าตกใจก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้มองไปที่จุดหมายปลายทาง

"There is nothing either good or bad but thinking makes it so."
- - W.Shakespeare - -
ไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว

"Great minds discuss ideas; Average minds discuss events;
Small minds discuss people."
- - Anonymous - -
จิตใจที่ยิ่งใหญ่วิพากย์วิจารณ์ความคิด จิตใจสามัญวิพากวิจารณ์เหตุการณ์ แต่จิตใจที่ต่ำต้อยนั้นวิจารณ์เพียงผู้คน


"Life is a big canvas and you should throw all the paint you can on it."
- - D.Kaye - -
ชีวิตเหมือนภาพเขียนขนาดใหญ่และคุณควรจะใช้สีทั้งหมดที่คุณมีสร้างสรรค์มันขึ้นมา


"Forgive your enemies, but never forget their names."
- - J.F.Kennedy - -
จงยกโทษให้แก่ศัตรูของคุณ แต่อย่าลืมชื่อของพวกเขาเป็นอันขาด

"If you want to increase your success rate,double your failure Rate."
- - T.Watson Jr (Founder of IBM) - -
ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จมากขึ้นหนึ่งเท่าตัว จงเพิ่มความล้มเหลวเป็นสองเท่าตัว


"Imagination is more important than knowledge."
- - Albert Einstein - -
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ที่มี

"The reward of a good thing well done is to have it done."
- - Ralph Waldo Emerson - -
รางวัลของสิ่งที่เรียกว่ายอดเยี่ยมคือการได้สร้างมันขึ้นมา

"You see things and you say, 'Why?'!But I dream things that never were; and I say, 'Why not?"
- - George Bernard Shaw - -
คุณเห็นบางสิ่งบางอย่าง คุณจะพูดว่า"ทำไม" ในขณะที่ฉันได้เห็นความฝันของฉันซึ่งไม่เคยเป็นไปได้ ฉันพูดว่า "ทำไมถึงไม่มีสิ่งนั้นล่ะ"

"The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams."
- - Eleanor Roosevelt - -
อนาคตเป็นของคนที่เชื่อในความฝันของตัวเองเท่านั้น

"When life is giving you a hard time, try to endure and live through it.
You must never run away from a problem.
Convince yourself that you will survive and get to the other side."
- - Margaret Ramsey * British literary agent - -
เมื่อคุณเห็นการมีชีวิตเป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัส ลองพยายามอดกลั้นและต่อสู้กับมัน จงอย่าวิ่งหนีต่อปัญหาใดๆที่คุณเผชิญอยู่ และเชื่อใจในตัวเองว่าสองมือของคุณสามารถทำให้คุณฝ่าฟันช่วงวิกฤตและผ่านมันไปได้

"It is never too late to be what you might have been."
- - George Eliot - -
ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นในสิ่งที่คุณอยากจะเป็น

"Do not be too timid and squeamish about your actions. All life is an experiment."
- - Ralph waldo Emerson - -
อย่าขาดความมั่นใจในตัวเอง และตระหนกตกใจในสิ่งที่คุณทำ ทุกๆสิ่งคือประสบการณ์

"Learn from the mistakes of others.
You can't live long enough to make them all yourself."
- - Anonymous - -
จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นเพราะเราไม่สามารถเรียนรู้ความผิดพลาดนั้นได้ทั้งหมดในช่วงชีวิตของเราเอง

"To follow, without halt, one aim: There is the secret of success."
- - Anna Pavlova - -
เคล็ดลับของความสำเร็จคือการเดินทางอย่างต่อเนื่องไปสู่จุดมุ่งหมาย

"Our deeds determine us, as much as we determine our deeds."
- - George Eliot - -
การกระทำตัดสินเรา เท่าๆกับที่เราตัดสินใจกระทำ

"The difference between the impossible and the possible lies in a man's determination."
- - Tommy Lasorda - -
เส้นบางๆที่คั่นระหว่างความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้คือการตัดสินใจของเรา

"If you don't stand for something, you'll fall for anything."
- - Anonymous - -
ถ้าคุณไม่อดทนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณก็จะล้มหลวในทุกๆสิ่ง

"It is not fair to ask others what you are not willing to do yourself."
- - Eleanor Roosevelt - -
ไม่ยุติธรรมเลยที่คุณจะขอร้องให้คนอื่นทำในสิ่งที่คุณไม่ต้องการทำ

"A wise man will make more opportunities than he finds."
- - Francis Bacon - -
คนที่ฉลาดคือคนที่สร้างโอกาสมากกว่าที่เขาหาได้

"We write our own destiny. We become what we do."
- - Madame Chiang Kai-Shek - -
ตัวเราเองที่กำหนดพรหมลิขิตและเราจะเป็นในสิ่งที่เราได้กระทำ

"Well done is better than well said."
- - Ben Franklin - -
การลงมือทำดีกว่าคำพูดที่สวยหรู

"Life moves pretty fast...if you don't stop to look around once in a while, you might miss it."
- - Ferris Bueller, "Ferris Bueller's Day Off" - -
ชีวิตผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้าคุณไม่หยุดและมองไปรอบๆบ้าง คุณอาจจะพลาดบางอย่างไป

Nobody has Wisdom if he does not know the Dark.
- - H.Hesse - -
ไม่มีใครฉลาดโดยปราศจากการได้รู้จักความโง่เขลามาก่อน

"Great minds must be ready not only to take opportunity, but to make them."
- - Colton - -
ความคิดที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่แต่เตรียมพร้อมต่อโอกาส แต่ยังพร้อมที่จะลงมือทำ

"Wealth is like Sea Water:The more you drink the more thirsty you get."
- - A.Schopenhauer - -
ความร่ำรวยเปรียบเหมือนน้ำทะเล ยิ่งดื่มมากเท่าไหร่ก็ยิ่งกระหายมากขึ้นเท่านั้น

Move out man! Life is fleeting by.
Do something worthwhile, before you die.
Leave behind a work sublime,
that will outlive you and time.
- - Alfred A. Montepert - -
อันชีวิตคนเราช่างสั้นนัก
ต้องรู้จักทำประโยชน์ก่อนจะสาย
ทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์หลังความตาย
มีความหมายคงอยู่ ตลอดไป

Seize the day. Make your lives extraordinary.
- - From The Dead Poets Society - -
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วชีวิตคุณจะไม่ธรรมดา

Only those who dare to fail greatly can ever achieve greatly.
- - Robert F. Kennedy - -
คนที่กล้าจะจะพ่ายแพ้เท่านั้น ที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

It is only in adventure that some people succeed in knowing themselves--in finding themselves.
- - Andr Gide - -
มีแต่ในการผจญภัยเท่านั้น ที่บางคนประสบความสำเร็จในการรู้จักตัวเอง นั้นคือ การค้นพบตัวเอง

If we do not find anything very pleasant, at least we shall find something new.
- - Voltaire - -
ถึงแม้ว่าเราจะไม่พบสิ่งที่พอใจ อย่างน้อย เราก็จะได้เจอสิ่งใหม่ๆ

Beware of small expenses; a small leak will sink a great ship.
- - Benjamin Franklin - -
จงระวังสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น รอยรั่วเล็กๆ อาจจะทำให้เรือใหญ่ล่ม

Age does not protect you from love. But love, to some extent, protects you from age.
- - Jeanne Moreau - -
อายุป้องกันคุณจากความรักไม่ได้ แต่ความรัก ในจำนวนที่พอเหมาะ ปกป้องคุณจากอายุได้

The best and most beautiful things in the world cannot be seen or even touched.
They must be felt with the heart.
- - Helen Keller - -
สิ่งที่ดีและสวยงามที่สุดในโลก มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่จะรู้สึกได้จากหัวใจ


Remember to always dream. More importantly to make those dreams come true and never give up.
- - Dr. Robert D. Ballard - -
จงฝันอยู่เสมอ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ ทำความฝันนั้นให้เป็นความจริง และอย่ายอมแพ้

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

10 ปรากฎการณ์ประหลาด จากเหตุ "โลกร้อน!"




ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัย "โลกร้อน" ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน อาทิ อากาศร้อนขึ้น น้ำแข็งขั้วโลกละลาย หรือระดับน้ำทะเลโลกสูงขึ้นเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังเป็นต้นเหตุของปรากฎการณ์แปลกๆ มากมาย ซึ่งเกี่ยวพันกับการหายสาบสูญของทะเลสาบ โรคภูมิแพ้โดยไม่ทราบสาเหตุ วิถีโคจรของดาวเทียมในอวกาศ ฯลฯ!

สารภูมิแพ้แพร่ระบาด

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดปรากฎการณ์ประหลาดขึ้นทุกๆ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ นั่นคือ ประชาชนไอ จาม ป็นภูมิแพ้ และหอบหืดกันง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ จากการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปกับสภาพมลพิษในอากาศ เป็นสาเหตุสำคัญของอาการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยใหม่ๆ ชี้ให้เห็นว่า วิกฤตอุณหภูมิโลกร้อนขึ้นและมีระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมากขึ้น คือต้นเหตุทำให้พืชพรรณต่างๆ ผลิใบเร็วกว่าเดิม ขณะเดียวกันปริมาณละอองเกสรที่ฟุ้งกระจายไปตามอากาศก็มากขึ้นเช่นกัน คนที่เป็นภูมิแพ้หรือหอบหืดเมื่อสูดละอองเหล่านี้เข้าไปมากๆ อาการจึงกำเริบง่าย

สัตว์อพยพไร้ที่อยู่

ผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน ทำให้สัตว์บางชนิด เช่น กระรอก ตัวชิปมังก์ หรือแม้กระทั่งหนู ต้องอพยพหนีขึ้นไปอยู่บนที่สูงขึ้น

สัตว์ที่กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ได้แก่ "หมีขั้วโลก" ที่ในอนาคตอาจมีชีวิตอยู่ในถิ่นฐานเดิมแถบอาร์กติก ขั้วโลกเหนือไม่ได้ เนื่องจากธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว

"พืช" ขั้วโลกคืนชีพ

ช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ผลจากภาวะน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพราะโลกร้อน ส่งผลต่อการดำรงอยู่ของพืชและสัตว์จำนวนมาก ตามปกติ พืชแถบอาร์กติกจะถูกปกคลุมอยู่ในน้ำแข็งตลอดทั้งปี

แต่ปัจจุบัน เมื่อน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูใบไม้ผลิต จึงทำให้พืชที่เคยถูกห่อหุ้มด้วยน้ำแข็งกลายเป็นอิสระ สามารถเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงและกลับมาเติบโตขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นอีก 1 ปรากฎการณ์ใหม่ของพื้นที่ขั้วโลกเหนือ

ทะเลสาบหายสาบสูญ

เรื่องประหลาดๆ ที่เกิดขึ้นในเขตอาร์กติก หรือ ขั้วโลกเหนือยังไม่หมดแค่นั้น มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา "ทะเลสาบ" ประมาณ 125 แห่งได้หายสาบสูญไปจากเขตอาร์กติก เป็นสัญญาณหนึ่งที่ช่วยให้เห็นว่า ภัยโลกร้อนส่งผลกระทบเร็วมากต่อสภาพแวดล้อมแถบขั้วโลก

สาเหตุที่ทะเลสาบหายไปก็เพราะ "เพอร์มาฟรอส" ที่เป็นน้ำแข็งแข็งตัวอยู่ใต้พื้นทะเลสาบนั้นละลายหมดสิ้นไป ดังนั้น น้ำในทะเลสาบจึงซึมเข้าสู่พื้นดินข้างใต้ได้ เหมือนกับเวลาเราดึงจุกปิดน้ำออกจากอ่างอาบน้ำแล้วน้ำจึงไหลหมดไปจากอ่างนั่นเอง นอกจากนี้ การที่ทะเลสาบขั้วโลกหายวับไป ยังส่งผลลูกโซ่ปั่นป่วนไปถึงระบบนิเวศในพื้นที่ที่พึ่งพิงน้ำจากทะเลสาบอีกด้วย
น้ำแข็งใต้พื้นโลกละลาย ภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงแค่ทำให้ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้ชั้นน้ำแข็งถาวรที่มีอยู่ใต้พื้นผิวโลกค่อยๆ ละลายลดปริมาณลงไปเช่นกัน
ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมาในอนาคตก็คือ จุดใต้พื้นโลก ซึ่งเคยเป็นน้ำแข็งหายไปจนเกิดเป็น "รูรั่ว" ใต้ดินขึ้นมา เมื่อเป็นเช่นนี้สภาพทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่ย่อมเปลี่ยนไป
สิ่งปลูกสร้าง หรือ สิ่งก่อสร้างของมนุษย์ เช่น ทางรถไฟ ถนน บ้านเรือน ฯลฯ ซึ่งตั้งอยู่เหนือจุดดังกล่าวมีโอกาสได้รับความเสียหายตามไปด้วย ถ้าปรากฎการณ์น้ำแข็งละลายเกิดขึ้นบนที่สูง เช่น ภูเขา จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติตามมา อาทิ หินถล่มและโคลนถล่ม เป็นต้น
ชนวนเกิดไฟป่า นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันตรงกันทั่วโลก ว่าภัยโลกร้อนเป็นสาเหตุให้ธารน้ำแข็งละลายและพายุก่อตัวบ่อยและรุนแรงขึ้นกว่าในอดีต ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะโลกร้อนยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด "ไฟป่า" ได้ง่ายขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
และชาติเมืองหนาวในซีกโลกตะวันตก ซึ่งตามปกติไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องไฟป่า ก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงนี้กันแล้ว เหตุเพราะสภาพป่าแห้งกว่าเดิม จึงเป็นเชื้อไฟอย่างดี
ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอด
โลกร้อนส่งผลให้หน้าหนาวหดสั้นลง และหน้าร้อนมาถึงเร็วขึ้น บรรดา "นกอพยพ" หลายสายพันธุ์ต่างมึนงง ปรับ "นาฬิกาชีวภาพ" ในตัวของมันให้เข้ากับสภาพความผันแปรของฤดูกาลที่บิดเบี้ยวไปไม่ทัน สัตว์ที่จะเอาชีวิตรอดจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนในทุกวันนี้ได้ต้องเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้น
ในที่สุดสัตว์ที่อยู่รอดจะต้อง "กลายพันธุ์" หรือปรับพันธุกรรมในตัวมันเสียใหม่ เพื่อรับมือภัยโลกร้อนให้ได้ และมีสัตว์หลายชนิดกำลังวิวัฒนาการตัวเองเช่นนั้นอยู่
ดาวเทียมโคจรเร็วกว่าเดิม การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้าถ่านหิน ยวดยานพาหนะ ฯลฯ คือ ตัวการสำคัญของวิกฤตโลกร้อน
ล่าสุดพบว่า เจ้าก๊าซตัวเดียวกันนี้เองที่ขึ้นไปสะสมมากขึ้นในชั้นบรรยากาศโลก ได้กลายเป็นต้นเหตุทำให้ "ดาวเทียม" ที่อยู่ในวงโคจรโลกเคลื่อนที่เร็วกว่าเดิม
ตามปกติ อากาศในบรรยากาศชั้นนอกสุดของโลกจะเบาบาง แต่โมเลกุลของอากาศจะยังคงมีแรงดึงดูดมากพอในการทำให้ดาวเทียมโคจรช้าๆ ดังนั้น เราอาจเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างว่า ผู้ควบคุมต้องจึดระเบิดดาวเทียมเป็นระยะๆ เพื่อให้ดาวเทียมโคจรต่อไปอย่างถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ลอยไปสะสมในบรรยากาศชั้นล่างมากไป จะทำแรงดึงดูดของบรรยากาศชั้นนอกสุดลดกำลังลง ดาวเทียมจึงโคจรเร็วกว่าปกติ
ภูเขากระเด้งตัวเหนือพื้นโลก ภูเขาและเทือกเขาสูงหลายแห่งทั่วโลกกำลังขยายตัว "สูง" ขึ้น เพราะผลจากโลกร้อน! นั่นเป็นเพราะ ตามธรรมชาติที่ผ่านๆ มานับพันปี ยอดภูเขาในเขตหนาวเย็นโดยทั่วไปจะมี "น้ำแข็ง" ปกคลุมอยู่ ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับตุ้มน้ำหนักที่คอยกดทับให้ฐานล่างของภูเขาทรุดต่ำลงไปใต้พื้นผิว เมื่อน้ำแข็งบนยอดเขามลายสูญสิ้นไป ส่วนฐานล่างที่เคยถูกกดจมดินลงไปจะค่อยๆ กระเด้งคืนตัวกลับมาเหนือผิวโลกอีกครั้ง โบราณสถานเสียหาย
โบราณสถาน เมืองเก่าแก่ ซากปรักหักพังทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ อันเป็นสิ่งแสดงถึงวัฒนธรรมอันรุ่งเรื่องของมนุษย์ในอดีตได้รับผลกระทบจากโลกร้อน
เหตุเพราะโลกร้อนทำให้อากาศทั่วโลกแปรปรวน ทั้งเกิดพายุ น้ำท่วม ภัยแล้ง ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูง และล้วนแต่ยิ่งสร้างความเสียหายให้กับมรดกตกทอดทางประวัติศาสตร์ดังกล่าว ซึ่งมีสภาพทรุดโทรมอยู่แล้ว
โบราณสถานอายุ 600 ปีในจังหวัดสุโขทัยของประเทศไทยเรา ก็เคยเสียหายอย่างหนักเพราะภัยน้ำท่วมใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากภัยโลกร้อน มาแล้วเช่นกัน


'มะกัน'ชี้ลดคาร์บอนฯโลกไม่หายร้อน ก๊าซค้างในอากาศนับพันปี


สภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลง หรือที่มักนิยมเรียกกันว่า โลกร้อน นั้นเกิดจากการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์และมีเทนขึ้นไปบนชั้นบรรยา กาศในปริมาณมากทำให้เกิดเป็นม่านควันที่กักความร้อนในโลกไว้ไม่ให้ระบายออกไป เทรนด์การลดก๊าซโลกร้อนนี้จึงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ทว่า การวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา พบว่า ต่อให้ทั้งโลกหยุดปล่อยก๊าซเหล่านี้ทันที โลกก็จะยังคงร้อนต่อไป เนื่องด้วยก๊าซเหล่านี้จะยังคงอยู่ในชั้นบรรยากาศไปอีกนานหลายพันปี

นายไคล์ อาร์เมอร์ นักศึกษาปริญญาเอก หนึ่งในคณะวิจัยดังกล่าว ระบุว่า อุณหภูมิทั่วโลกนั้นจะยังคงสูงต่อไป โดยค่าเฉลี่ยจะสูงกว่าสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมยุโรปในศตวรรษที่ 19 โดยตอนนี้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงกว่าสมัยดังกล่าวถึง 0.8 องศาเซลเซียส รวมทั้งเป็นไปได้ที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.9 องศาเซลเซียสด้วย ต่อให้โลกทั้งใบหยุดปลดปล่อยก๊าซโลกร้อนทั้งหมดในทันที

ทั้งนี้ สาเหตุมาจากสารแอโรซอล คือละอองอนุภาคพิเศษที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านปรากฏการณ์เรือนกระจกด้วยการสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไปไม่ให้แผดเผาเข้ายังผืนโลกมากเกินไปนั้นจะสูญสลายไปภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์หากเลิกปล่อยก๊าซโลกร้อนแบบทันที คงเหลือเพียงแต่ก๊าซโลกร้อนที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ

"แอโรซอลจะถูกชะล้างออกไปอย่างรวดเร็ว และพวกเราจะได้เห็นอุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นอย่างท่วมท้นภายในเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ" นายอาร์เมอร์กล่าว

นายอาร์เมอร์ ระบุว่า หากมนุษย์สามารถยับยั้งวิกฤต การณ์โลกร้อนนี้ได้ อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นนั้นจะเหลือเพียง 0.27 องศาเซลเซียส แต่ก็ยังจะมากกว่ายุคปฏิวัติอุตสาหกรรมยุโรป และไม่มีวันที่จะกลับไปเหมือนเดิมได้ โดยคณะ นักวิจัยยืนยันถึงความถูกต้องของผลการศึกษาดังกล่าว แม้การตั้งสมมติฐานให้ทั่วโลกหยุดการปล่อยก๊าซโลกร้อนทั้งหมดในทันทีนั้นตามความเป็นจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้ ทว่า ความเป็นไปได้กับสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นคนละเรื่องกัน

"ผลการศึกษานี้ไม่ได้บอกว่า ต้องปล่อยก๊าซโลกร้อนเพื่อรักษาสารแอโรซอลไว้ แต่บอกให้เรารู้ว่า เราควรจะเลิกปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างฉลาดก็เท่านั้น" นายอาร์เมอร์ กล่าว


ทำไมเดือนกุมภาพันธ์ถึงมี 28 และ 29 วัน ??


คำว่ากุมภาพันธ์นั้น ในภาษาอังกฤษมีชื่อว่า February ซึ่งเป็นชื่อเทพเจ้าองค์หนึ่งของชาวอิตาเลียนโบราณครับ เล่ากันว่าเทพเจ้าองค์นี้มีพระนามว่า “Februus” หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “Februa” เทพองค์นี้เป็นตัวแห่งความตายและความบริสุทธิ์ ว่ากันว่าเทพองค์นี้ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองด้วยจึงไม่แปลกใจเลยที่เดือนนี้จะเป็นเดือนที่มีการจัดเทศการเฉลิมฉลองกรุงโรม แล้วก็แต่เดิมนั้นปฏิทินโรมันจะมีเพียงแค่ 10 เดือน (304 วัน) โดยจะนับเอาเดือนมีนาคมเป็นเริ่มต้นปีใหม่ใน 10 เดือนที่ว่านี้ได้แก่เดือน Martius, Aprilis, Maius, Junius, Quintilis, Sextilis, September, October, November และ December ปฏิทินนี้เป็นที่รู้จักและใช้ต่อกันเรื่อยมาจนถึงประมาณ 738 ปีก่อนคริสตกาลจากนั้นเดือน January และ February ก็ได้ถูกทำการเพิ่มขึ้นโดยกษัตริย์โรมันนามว่า Numa เพื่อให้จำนวนวันที่หายไปนั้นได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ตรงนี้เองที่ทำให้เดือน October กระเด็นไปอยู่เดือนที่สิบ (อันที่จริงแล้ว Oct แปลว่าแปด)ต่อมาก็คือเรื่องของปฏิทินจูเลียตที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ได้ถูกสร้างขึ้น โดย Julius Caesar ซึ่งเป็นผู้นำคนใหม่ของโรมัน ผู้นำโรมันคนนี้ได้เล็งเห็นถึงความผิดปกติและความไม่ถูกต้องของปฏิทินจึงได้ ทำการสั่งให้เลิกทำการคำนวณเดือนจากการนับดวงจันทร์เหมือนที่เคยใช้กันมา แต่เดิมนั้นใช้ระบบดวงจันทร์ คืออาศัยข้างขึ้น ข้างแรมสังเกตความเปลี่ยนแปลงของดวงจันทร์ พอหมดข้างแรมทีนึงก็นับเป็นหนึ่งเดือนพร้อมกับได้เปลี่ยนไปใช้วันที่ 1 ของเดือน January เป็นวันแรกของปี อีกทั้งผู้นำโรมันคนนี้ยังได้ทำการเปลี่ยนชื่อเดือน Quintilis เป็น July ซึ่งมาจากคำว่า Julius Caesar เพื่อเป็นเกียรติให้แก่ตัวเอง และนอกจากนี้ปฏิทินจูเลียตยังได้กำหนดเอาไว้อีกว่าให้เดือนคี่มี 31 วัน เดือนคู่มี 30 วัน ยกเว้นเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในปีปกติสุรทิน และมี 30 วันในปีอธิกสุรทิน (คำว่า ปีปกติสุนทิน หมายความว่าเป็นปีปฏิทินที่มีจำนวนวัน 365 วัน และ ปีอธิกสุรทิน หมายความว่าเป็นปีปฏิทินที่มีจำนวนวัน 366 วัน)ต่อมาในยุคสมัยของกษัตริย์ Augustus Caesar ไม่พอใจที่เดือนเกิดของตนเองซึ่งเป็นเดือน 8 เป็นเดือนคู่แต่มีเพียงแค่ 30 วัน จึงได้ทำการดึงวันออกจากเดือน February ออกมา 1 วัน แล้วนำมาใส่ในเดือนเกิดของตนเอง และได้ทำการเปลี่ยนชื่อเดือนเกิดของตนเองเจาก Sextilis เป็น August จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเดือน August ถึงมี 31 วัน และทำไมเดือน February จึงเหลือ 28 หรือ 29 วันนั่นเองประเทศไทยของเรานั้นเริ่มใช้ชื่อเดือนกุมภาพันธ์ในปี พ.ศ. 2532 ซึ่งตรงกับรัชกาลที่ 5 โดนที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เป็นผู้เสนอให้ใช้จักรราศีเป็นตัวกำหนดชื่อเดือน

เดือนทั้ง 12 นั้นจะประกอบไปด้วย
January 31 วัน
February 28 วัน
March 31 วัน
April 30 วัน
May 31 วัน
June 30 วัน
July 31 วัน
August 31 วัน
September 30 วัน
October 31 วัน
November 30 วัน
December 31 วัน
รวม 12 เดือน 365 วัน ระยะเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบนั้นเท่ากับ 365.24224 วัน ครับ ถ้า
ในปีไหนที่เดือน February มี 28 วันแล้วล่ะก็ ปีนั้นจะมีจำนวนวัน 365 วัน ซึ่งจะขาดไป 0.24224 วัน
ในปีไหนที่เดือน February มี 29 วันแล้วล่ะก็ ปีนั้นจะมีจำนวนวัน 366 วัน ซึ่งจะเกินไป 0.24224 วัน
ดังนั้นเพื่อที่จะให้ง่ายต่อการเพิ่มหรือว่าลดระยะเวลาที่ขาดหายหรือมากเกิน ไปนั้น จึงได้มีการกำหนดให้ปีที่มี 365 วัน ซึ่งจะขาดไป 0.24224 วัน นำไปทดไว้จนครบ 4 ปีก็จะได้วันเพิ่มมาอีก 1 วันนั่นเองครับ ส่วนการคำนวณหาว่าปีไหนจะเป็นปีที่มีเดือน February 29 วัน ก็ให้นำปี ค.ศ. มาตั้งแล้วหารด้วย 4 ถ้าเกิดว่าหารลงตัวไม่มีเศษแล้วล่ะก็ปีนั้นจะเป็นปีที่เดือนกุมภาพันธ์มี 29วัน

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นักวิจัยสหรัฐพบโปรตีนใหม่ในเซลล์ มีฤทธิ์ต่อสู้เชื้อไวรัสไข้หวัด



วารสารเซลล์ เผยว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา พบโปรตีนต่อต้านไวรัสภายในเซลล์ ซึ่งมีคุณสมบัติต่อสู้กับการติดเชื้อไวรัสไข้หวัด พุ่งเป้าพัฒนาเจาะลึกหวังใช้เป็นแนวทางคิดค้นวัคซีนรับมือไข้หวัดให้ดีขึ้นในอนาคต

ผลวิจัยของม.การแพทย์ฮาร์วาร์ด ค้นพบกลุ่มของยีน หรือพันธุกรรมที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนทหารคุ้มกันเซลล์จากไวรัสไข้หวัดใหญ่ โดยยีนกลุ่มนี้สามารถต่อสู้กับไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ทุกเวลา

นักวิจัยใช้เทคนิคการวิจัยใหม่เรียกว่า "อาร์เอ็นเอ" ในการทดลอง ซึ่งเทคนิคนี้จะปิดการทำงานของยีนเป็นรายตัว แล้วจึงนำเซลล์ใส่เข้าไปในไวรัสไข้หวัดใหญ่ ผลที่ได้คือ จะเห็นโปรตีนที่มีฤทธิ์ต่อสู้ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการติดเชื้อไวรัสตามธรรมชาติ และถ้ากำจัดโปรตีนนี้ออกไป ไวรัสไข้หวัดใหญ่จะสามารถแบ่งตัว หรือเพิ่มจำนวนตัวเองได้เร็วขึ้นกว่าเดิม 5-10 เท่า

"ดังนั้น ถ้าสามารถกระตุ้นให้เซลล์ผลิตโปรตีนชนิดนี้ก็จะทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพในการต่อต้านไข้หวัดใหญ่มากขึ้น และพบด้วยว่าโปรตีนในตระกูล "IFITM3" สามารถป้อง กันไวรัสได้หลายชนิด เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิดเอ ซึ่งพบในไข้หวัดตามฤดูกาล ไวรัสเวสต์ไนล์ และไวรัสไข้เลือดออก แต่โปรตีนนี้ป้องกันไวรัสเอชไอวี หรือไวรัสโรคตับอักเสบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การทดสอบในห้องทดลองพบว่า อาจจะป้องกันไวรัสชนิดอื่น เช่น ไวรัสไข้เหลือง" นักวิจัย ระบุ

ทั้งนี้ คณะผู้วิจัยกล่าวด้วยว่า ถ้าหากไวรัสเล็ดลอดแนวป้องกันชั้นแรกของโปรตีน และเข้าไปถึงในเซลล์ได้จะมีสัญญาณเตือนภัยไปยังส่วนอื่นของร่างกายให้ผลิตโปรตีนต่อต้านไวรัสมากขึ้นเพื่อรับมือ

"ฮาร์โมนี่เอ็กซ์เพรส" รถไฟจีนเร็วสุดในโลก



รัฐบาลคอมมิวนิสต์ "จีนแดง" ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ให้ประชาคมโลกประจักษ์อีกครั้ง

หลังจากช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ถือฤกษ์เปิดให้บริการ "บุลเล็ตเทรน" หรือ "รถไฟหัวกระสุน" สายฮาร์โมนี่เอ็กซ์เพรส (หนึ่งเดียว/สามัคคี) เป็นที่เรียบร้อย

โดยวิ่งรับส่งผู้โดยสารไป-กลับระหว่างสองเขตเศรษฐกิจสำคัญ

นั่นคือ นครกวางโจว กับ นครอู่ฮั่น รวมระยะทาง 1,100 กิโลเมตร (วิ่งวันละ 56 รอบ)

พร้อมกับครองสถิติ เป็นรถไฟหัวกระสุนแล่นทางไกล ซึ่งทำความเร็วสูงสุดในโลก

สูงถึง 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ขณะที่ความเร็วสูงสุดแท้จริงสมัยทดสอบวิ่ง อยู่ที่ 394 กิโลเมตรต่อชั่วโมง!

โค่นแชมป์เก่าอย่าง "เตเจเว" ของฝรั่งเศส และ "ชินคันเซ็น" ของญี่ปุ่น ที่เคยทำความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขาดกระจุย

ด้วยความเร็วปานสายฟ้าแล่บ ทำให้การเดินทางพันกว่ากิโลฯ จากกวางโจวไปอู่ฮั่น ใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมง!

บรรดา "เครื่องบินโดยสาร" ภายในประเทศของจีน จึงต้องงัดกลยุทธ "ดั๊มพ์" หรือรถราคาค่าตั๋วลงมาโดยด่วน

สำหรับมูลค่าโครงการฮาร์โมนี่เอ็กซ์เพรส แบ่งค่าใช้จ่ายหลัก 2 ส่วน ส่วนแรก รัฐบาลกลาง เทลงไปเฉียด 6 แสนล้านบาท ฝ่ายทางการอู่ฮั่น รับผิดชอบค่าก่อสร้างสถานีและรางบางส่วนร่วมๆ 8 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม สนนราคา "ค่าตั๋ว" ถ้ามองจากมุมชาวบ้าน-ผู้ใช้แรงงานจีนยังถือว่า "แพง" เนื่องจากในเบื้องต้นมีแค่ 2 ราคา คือ ชั้นหนึ่ง 3,810 บาท/ชั้นสอง 2,400 บาท เมื่อมองจากราคาเท่ากับว่า คนจะขึ้นฮาร์โมนี่เอ็กซ์เพรสได้ต้องเป็น "จีนชนชั้นกลาง-บน" แต่คาดว่ารัฐบาลจีนยังไม่ห่วงประเด็นนี้มากนัก เพราะคงต้องการแสดงให้โลกเห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขนส่งของตนว่าล้ำหน้าโลกตะวันตกไปหลายช่วงตัว

ขนาด "อวกาศ" คนจีนยังไปลุยมาแล้ว..นับประสาอะไรกับแค่สร้างสุดยอดรถไฟบนพื้นโลก!

อัลมอนด์สุดยอด ผู้พิทักษ์หัวใจ



การกินอัลมอนด์ในปริมาณวันละ 1 หยิบมือ จะเป็นผลดีต่อสุขภาพและหัวใจของเราเป็นอย่างมาก เพราะภายในอัลมอนด์มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายของเรามากมาย ทั้งกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยว และเชิงซ้อน ที่สามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อัลมอนด์มักจะถูกเรียกว่า “ผู้พิทักษ์หัวใจ”

นอกจากนี้อัลมอนด์ยังมีไฟเบอร์ โปรตีน วิตามินบี วิตามินอี และโอเมก้า3 อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอของผิวหนัง และเส้นผมให้กลับมาแข็งแรงเหมือนเก่า แถมการกินถั่วชนิดนี้ยังช่วยเรื่องความสวยความงามได้อีกด้วย เพราะมันจะเข้าไปช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยต่างๆ ได้ อ๊ะๆ ยังไม่หมดนะจ๊ะ มันยังสามารถลดการเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และช่วยลดโคเลสเตอรอลได้ด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศฝรั่งเศส!

หอไอเฟล(Eiffel)




หอไอเฟลเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ "กุสตาฟ ไอเฟล" ในปี พ.ศ. 2549 นักท่องเที่ยวกว่า 6,719,200 คนได้เข้าเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ และกว่า 200,000,000 คนตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ส่งผลให้หอไอเฟลเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีคนเข้าชมมากที่สุดต่อปีอีกด้วย หอไอเฟลมีความสูง 324 เมตร (1,063 ฟุต) (รวมเสาอากาศสูง 24 เมตร (79 ฟุต)) ซึ่งก็สูงเท่ากับตึก 81 ชั้นเมื่อหอไอเฟลสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลกลายเป็นอนุสาวรีย์วอชิงตัน และได้ครองตำแหน่งนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) ก็ได้เสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ที่เพิ่งสร้างเสร็จ ปัจจุบันฟอไอเฟลสูงเป็นอันดับที่ 5 ในประเทศฝรั่งเศสและสูงที่สุดในกรุงปารีส ซึ่งอันดับสองคือ หอมงต์ปาร์นาสส์(Tour Montparnasse - 210 เมตร หรือ 689 ฟุต) ซึ่งในไม่ช้าจะถูกแทนที่โดยหออาอิกซ์อา (Tour AXA - 225.11 เมตร หรือ 738.36 ฟุต)หอไอเฟลมีความสูง 300 เมตร (986 ฟุต) ซึ่งไม่รวม เสาอากาศ 24 เมตร (72 ฟุต) ด้านบนนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น ในขณะที่ก่อสร้างปี พ.ศ. 2432 (ค.ศ. 1889) หอไอเฟลนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดบนโลก โดยถูกล้มตำแหน่งเมื่อเมืองนิวยอร์กได้สร้าง ตึกไครสเลอร์ สูง 319 เมตร (1047 ฟุต) น้ำหนักเหล็กที่ใช้ก่อสร้างนั้นทั้งหมด 7,300 ตัน และถ้ารวมทั้งหมดก็เป็น 10,000 ตัน ส่วนจำนวนบันไดนั้นเปลี่ยนแปลงตลอด เมื่อแรกเริ่มนั้นมี 1710 ขั้น ในทศวรรษที่ 1980 มี 1920 ขั้น และในปัจจุบัน มี 1665 ขั้น

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre museum)


พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป สถาปนิกชาวจีน-อเมริกันชื่อดังเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่กว่า 60,000 ตารางเมตร ภายในบรรจุงานศิลป์ อายุ ยาวนานกว่า 11 ศตวรรษ จำนวน ประมาณ 380,000 ชิ้น ทั้งรูปปั้น ภาพวาด อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antioch และมีเพียงงานปั้นและภาพวาด 30,000 ชิ้น เท่านั้นที่นานๆจะนำออกมาแสดงหากจะย้อนดูความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คงต้องย้อนไปถึง ศตวรรษที่ 12 เมื่อครั้งที่กษัตริย์ ฟิลิปเป้ ออกัสเต้ ได้ก่อสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันกรุงปารีสจากหมู่โจรสลัด โดยจุดที่เลือกก่อตั้งคือริมแม่น้ำเซน ป้อมปราการ และคูคลองยุคกลางยังคงมีให้เห็นในปัจจุบันนี้ต่อมาฟรังเชสที่ 1 ได้รื้อถอน ตึก เก่า แล้วได้สร้างขึ้นใหม่เป็นพระราชวังหลวงและที่พักในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรมของฝรั่งเศส ซึ่งได้กลายเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมสำหรับจัดแสดงของสะสมของกษัตริย์นับแต่นั้นมา นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ยังเคยเป็นที่จัดงานแต่งของนโปเลียนผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสอีกด้วยในปี พ.ศ. 2549 พิพิธภัณฑ์ลูฟร์มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลกและยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส

พระราชวังแวร์ซายส์ (Versaille Palace)



เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้นเมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎรชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วยกิโยตินในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ยังอยู่ในสภาพดีและเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้